เป็นผู้ไม่ประมาทในเกวียนทั้งหลาย, ฝ่ายเราจักไปฟังธรรม" ดังนี้แล้ว
ไปถวายบังคมพระตถาคต นั่งที่สุดบริษัทแล้ว.
วันนั้น พระศาสดา เมื่อจะตรัสอนุปุพพีกถา ตามอัธยาศัยของ
มหากาลนั้น จึงตรัสโทษความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกาม
ทั้งหลาย โดยปริยายเป็นอันมาก ด้วยสามารถแห่งสูตรมีทุกขักขันธสูตร
เป็นอาทิ. มหากาลได้สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว จึงคิดว่า "นัยว่า
คนเราจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป, โภคะ (และ ) ญาติทั้งหลาย ย่อมไม่
ติดตามบุคคลผู้ไปปรโลกเลย, เราจะต้องการอะไรด้วยการครองเรือน
เราจักบวชละ, " เมื่อมหาชนถวายบังคมแล้วหลีกไป, ทูลขอบรรพชา
กะพระศาสดา, เมื่อพระศาสดารับสั่งว่า "ผู้ที่ท่านควรลาไร ๆ ไม่มี
หรือ ? ทูลว่า "น้องชายของข้าพระองค์มี พระเจ้าข้า" เมื่อพระองค์
ตรัสว่า "ถ้ากระนั้น เธอจงลาเขาเสีย," ทูลรับว่า "ดีละ พระเจ้าข้า"
กลับมาบอกน้องชาย ดังนี้ว่า "พ่อ เจ้าจงปกครองสมบัติทั้งหมดนี้เถิด ."
จ. ก็พี่เล่า ? ขอรับ.
ม. พี่จักบวชในสำนักของพระศาสดา. เขาอ้อนวอนพี่ชายนั้น
ด้วยประการต่าง ๆ ก็ไม่อาจให้กลับได้, จึงกล่าวว่า "ดีล่ะพี่ ขอพี่จง
ทำตามอัธยาศัยเถิด." มหากาลไปบวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว. ฝ่าย
จุลกาลก็ (ไป) บวช ด้วยตั้งใจว่า "เราจักชวนพี่ชายสึก."
พระมหากาลบำเพ็ญโสสานิกธุดงค์
ในกาลต่อมา มหากาลได้อุปสมบทแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ทูลถามถึงธุระในพระศาสนา, เมื่อพระศาสดาตรัสบอกธุระ 2 อย่าง