เมนู

ทรงรำพึงถึงอาการของภิกษุบริษัท


พระศาสดาทรงพิจารณาดูบริษัท ด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน
ทรงรำพึงว่า " บริษัทนี้ งามยิ่งนัก, การคะนองมือก็ดี คะนองเท้า
ก็ดี เสียงไอก็ดี เสียงจามก็ดี แม้ของภิกษุรูปหนึ่ง ย่อมไม่มี, ภิกษุ
เหล่านี้แม้ทั้งหมด มีความเคารพด้วยพุทธคารวะ อันเดชแห่งพระ-
พุทธเจ้าคุกคามแล้ว . เมื่อเรานั่ง, ( เฉยเสีย) ไม่พูดแม้ตลอดชั่วอายุ
ก็รูปไหน ๆ จักหายกเรื่องขึ้นพูดก่อนไม่, ชื่อว่าธรรมเนียมของการ
ยกเรื่องขึ้น เราควรรู้, เราเองจักพูดขึ้นก่อน" ดังนี้แล้ว ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดุจเสียงพรหม ตรัสถามว่า
"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? ก็แล
เรื่องอะไรที่พวกเธอหยุดค้างไว้ในระหว่าง ?" เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูล
ว่า " ด้วยเรื่องชื่อนี้," จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย จูฬปันถกหาได้เป็น
ผู้โง่แต่ในบัดนี้เท่านั้นไม่, แม้ในกาลก่อน ก็เป็นผู้โง่แล้วเหมือนกัน;
อนึ่ง เราเป็นที่พำนักอาศัยของเธอเฉพาะในบัดนี้อย่างเดียวหามิได้, ถึง
ในกาลก่อน ก็ได้เป็นที่พำนักอาศัยแล้วเหมือนกัน; และในกาลก่อน
เราได้ทำจูฬปันถกนี้ให้เป็นเจ้าของแห่งโลกิยทรัพย์แล้ว, บัดนี้ ได้ทำให้
เป็นเจ้าของแห่งโลกุตรทรัพย์," อันภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่จะสดับเนื้อความนั้น
โดยพิสดาร ทูลอัญเชิญแล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา (เล่าว่า)

เรื่องมาณพเรียนศิลปะในกรุงตักกสิลา


ในอดีตกาล มาณพชาวพระนครพาราณสีคนหนึ่ง ไปยังกรุง
ตักกสิลาแล้ว เป็นธัมมันเตวาสิกของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อประสงค์