เมนู

ในที่สุดอนุโมทนา ธรรมาภิสมัย1 ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พันแล้ว. พระ-
ศาสดา ครั้นตรัสเรื่องแห่งชฎิล 3 พี่น้องแล้ว ทรงนำพระธรรมเทศนา
แม้นี้มาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.

บุรพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสอง


ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ก็พระอัครสาวกทั้งสอง ได้ทำกรรมอะไร
ไว้ ? พระเจ้าข้า."
พระศาสดา ตรัสว่า "อัครสาวกทั้งสอง ทำความปรารถนาเพื่อเป็น
อัครสาวก. จริงอยู่ ในที่สุดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์แต่กัลป์นี้ไป สารีบุตร
เกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล ได้มีนามว่าสรทมาณพ. โมคคัลลานะ เกิด
ในสกลคฤหบดีมหาศาล ได้มีนามว่า สิริวัฑฒกุฎุมพี. มาณพทั้งสองนั้น
ได้เป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน. สรทมาณพโดยล่วงไปแห่งบิดา ได้ครอบ
ครองทรัพย์เป็นอันมาก อันเป็นมรดกของสกุล. ในวันหนึ่ง อยู่ในที่ลับ
คิดว่า "เราย่อมรู้อัตภาพในโลกนี้เท่านั้น, หารู้อัตภาพในโลกหน้าไม่
อันธรรมดาความตายของสัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นของเที่ยง. ควรที่เรา
บวชเป็นบรรพชิตอย่างหนึ่ง ทำการแสวงหาโมกขธรรม."
สรทมาณพนั้น เข้าไปหาสหายแล้วพูดว่า "สิริวัฑฒะผู้สหาย
ข้าพเจ้าจักบวชแสวงหาโมกขธรรม. ท่านจักอาจบวชกับเราหรือไม่อาจ."
สิริวัฑฒะตอบว่า "ข้าพเจ้าจักไม่อาจ สหาย ท่านบวชคนเดียวเถิด."
สรทมาณพนั้น คิดว่า "ธรรมดาผู้ไปสู่ปรโลก พาสหายหรือญาติมิตร
ไปด้วยไม่มี, กรรมที่คนทำแล้วย่อมเป็นของตนเอง." แต่นั้น สรทมาณพ
จึงให้เปิดเรือนคลังแก้วออก ให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก

1. การบรรลุธรรม.

และยาจกทั้งหลาย เข้าไปสู่เชิงเขา บวชเป็นฤษีแล้ว. ชนทั้งหลายบวช
ตามสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ 1 คน 2 คน 3 คน จนมีชฏิลประ-
มาณพเจ็ดหมื่นสี่พันคน. สรทชฎิลนั้นยังอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ให้เกิด
แล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้น. แม้ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น ก็
อภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ให้เกิดขึ้นแล้ว.
โดยสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้วในโลก พระนครได้มีชื่อว่า จันทวดี. กษัตริย์พระนามว่ายสวันตะ
เป็นพระบิดา, พระเทวีพระนามว่าโสธรา เป็นพระมารดา. ไม้รกฟ้า
เป็นที่ตรัสรู้, พระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ 1 ชื่อ อโนมะ 1, อุปัฏ-
ฐากชื่อวรุณะ, อัครสาวิกาทั้งสอง นามว่า สุนทรา 1 สุมนา 1, พระ-
ชนมายุได้มีถึงแสนปี, พระสรีระสูงถึง 58 ศอก, พระรัศมีแห่งพระสรีระ
แผ่ไปตลอด 12 โยชน์. ภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร. วันหนึ่ง ในเวลา
ใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีนั้น เสด็จออกจากมหา-
กรุณาสมาบัติ ทรงพิจารณาดูสัตว์โลกอยู่ ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบส
แล้ว ทรงพระดำริว่า "เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้เป็นปัจจัย
พระธรรมเทศนาจักมีคุณใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
พระอัครสาวก, สิริวัฑฒกุฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
อัครสาวกที่ 2 ทั้งในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้น
จักบรรลุพระอรหัต; เราควรไปในที่นั้น." ดังนี้แล้ว ถือบาตรและจีวร
ของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกใคร ๆ อื่น เสด็จไปพระองค์เดียวเหมือนพระยา
ราชสีห์ เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลา-
ผล, ทรงอธิษฐานว่า ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้า."

เมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นเทียว เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนบนแผ่นดิน
แล้ว.
สรทดาบส เห็นพระพุทธานุภาพและความสำเร็จแห่งพระสรีระ
สอบสวนมนต์สำหรับทำนายลักษณะ ก็ทราบได้ว่า "อันผู้ประกอบด้วย
ลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ในท่ามกลางเรือน ย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ,
เมื่อออกบวช ย่อมเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิด
แล้วในโลก. บุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย" จึงทำการต้อน
รับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้จัดอาสนะถวายแล้ว. พระผู้มี
พระภาคเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้. แม้สรทดาบส ถืออาสนะอัน
สมควรแก่ตนแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ในสมัยนั้น ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พัน
ถือผลาผลทั้งหลายที่ประณีต ๆ อันมีโอชะ มาถึงสำนักอาจารย์แล้ว แลดู
อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับและอาจารย์นั่งแล้ว จึงพูดว่า "ท่านอาจารย์
พวกกระผมเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า 'ในโลกนี้ผู้เป็นใหญ่กว่าท่านอาจารย์
ย่อมไม่มี, ก็บุรุษผู้นี้ เห็นจะเป็นใหญ่ว่าท่านอาจารย์ ?"
สรทดาบส ตอบว่า "พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าพูดอะไร, พวกเจ้า
ปรารถนาเพื่อทำเขาสิเนรุซึ่งสูงหกสิบแปดแสนโยชน์ ให้เสมอกับเมล็ด
พันธุ์ผักกาด ( กระนั้นหรือ) ลูกทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าทำการเปรียบ
เทียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย."
ครั้งนั้น ดาบสเหล่านั้น คิดว่า "ถ้าบุรุษผู้นี้จักได้เป็นคนเล็กน้อย
ไซร้, ท่านอาจารย์ของพวกเราคงไม่ชักสิ่งเห็นปานนี้มาอุปมา, บุรุษผู้นี้จะ
ใหญ่เพียงไรหนอ" ดังนี้แล้ว ทั้งหมดเทียว หมอบลงแทบพระบาททั้งสอง
ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแล้ว . ครั้งนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า

" พ่อทั้งหลาย ไทยธรรมที่สมควรแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี,
และพระศาสดาก็เสด็จมาในที่นี้ในเวลาภิกษาจาร. พวกเราจักถวายไทย-
ธรรม ตามสัตติ ตามกำลัง พวกเจ้าจงนำผลาผลประณีตที่มีอยู่มา," ดังนี้.
ครั้นให้นำมาแล้ว ล้างมือทั้งสองแล้ว ตั้งไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วย
ตนเอง. พอเมื่อพระศาสดาทรงรับผลาผล, เทวดาทั้งหลายก็โปรยโอชะ
อันเป็นทิพย์ลง. ดาบสนั้นได้กรองแม้ซึ่งน้ำถวายด้วยตนเองทีเดียว.
ต่อแต่นั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งทำภัตกิจแล้ว, ดาบสนั้นเรียก
อันเตวาสิกทั้งสิ้นมาแล้ว นั่งกล่าวสาราณียกถานั่งที่ใกล้พระศาสดา. พระ-
ศาสดาทรงดำริว่า "ขออัครสาวกทั้งสอง จงมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์."
พระอัครสาวกทั้งสองนั้น ทราบพระดำริของพระศาสดาแล้ว มีพระ-
ขีณาสพแสนรูปเป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น สรทดาบสเรียกอันเตวาสิกทั้งหลายมาแล้ว กล่าวว่า
"พ่อทั้งหลาย แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ต่ำ, ซ้ำอาสนะสำหรับ
สมณะตั้งแสน ก็ไม่มี, พวกเจ้า ควรจะทำพุทธสักการให้โอฬารในวันนี้
จงนำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่นมาแต่เชิงเขา." เวลาที่พูด
ย่อมเป็นเหมือนเนิ่นช้า, แต่วิสัยฤทธิ์ของผู้มีฤทธิ์ อันบุคคลไม่ควรคิด,
เพราะฉะนั้น โดยกาลเพียงครู่เดียวเท่านั้น ดาบสเหล่านั้นนำดอกไม้
ทั้งหลายที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่นมาแล้ว ตบแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายประมาณได้ 1 โยชน์ สำหรับพระอัครสาวกทั้งสอง
ประมาณ 3 คาพยุต.1 สำหรับภิกษุที่เหลือมีประมาณแตกต่างกัน มี

1. คาพยุตหนึ่งยาว 100 เส้น.

ประมาณกึ่งโยชน์เป็นต้น, สำหรับภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์มีประมาณ 1 อุสภะ1
ใคร ๆ ไม่พึงคิดว่า "ในอาศรมบทแห่งเดียว จะตบแต่งอาสนะใหญ่โต
ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ?" เพราะว่า นี้เป็นวิสัยของฤทธิ์, เมื่อตบแต่ง
อาสนะเสร็จแล้วอย่างนั้น, สรทดาบส ยืนประคองอัญชลีเบื้องพระพักตร์
ของพระตถาคตแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์
เสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้นี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์
ตลอดราตรีนาน."
เพราะเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
"สรทดาบสเอาดอกไม้ต่าง ๆ และของหอม
ธรรมด้วยกัน ตบแต่งอาสนะดอกไม้แล้ว ได้กราบ
ทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระวีระ อาสนะที่ข้าพระองค์
ตบแต่งแล้วนี้ สมควรแด่พระองค์, พระองค์
เมื่อจะยังจิตของข้าพระองค์ ให้เลื่อมใส ขอจง
ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้, พระพุทธเจ้าได้ทรง
ยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว ยังโลกนี้
กับทั้งเทวโลกให้ร่าเริงแล้ว จึงประทับนั่งบนอาสนะ
ดอกไม้ตลอด 7 คืน 7 วัน."

เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้วอย่างนั้น, พระอัครสาวกทั้งสอง และ
ภิกษุที่เหลือก็นั่งแล้วบนอาสนะที่ถึงแล้วแก่ตน ๆ. สรทดาบสได้ถือฉัตร
ดอกไม้ใหญ่ ยืนกั้นเหนือพระเศียรของพระตถาคต. พระศาสดา ทรง
อธิษฐานว่า "ขอสักการะของพวกชฎิลนี้ จงมีผลใหญ่" ดังนี้แล้ว

1. อุสภะหนึ่งยาว 25 วา.

ทรงเข้านิโรธสมาบัติ. สองพระอัครสาวกก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี ทราบว่า
พระศาสดาทรงเข้าสมาบัติแล้ว ก็เข้าสมาบัติ. เมื่อพระตถาคตประทับนั่ง
เข้านิโรธสมาบัติตลอด 7 วัน, พวกอันเตวาสิก เมื่อถึงเวลาเที่ยวไป
ภิกษา, บริโภคมูลผลาผลในป่าแล้ว ยืนประคองอัญชลีแต่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายตลอดกาลที่เหลือ. ฝ่ายสรทดาบสไม่ไปแม้สู่ที่ภิกษาจาร กั้นฉัตร
ดอกไม้อยู่เทียว ให้เวลาล่วงไปด้วยปีติและสุขตลอด 7 วัน. พระศาสดา
เสด็จออกจากนิโรธแล้ว ตรัสเรียกพระนิสภเถระพระอัครสาวกผู้นั่งข้าง
พระปรัศว์เบื้องขวา ด้วยรับสั่งว่า "นิสภะ เธอจงทำอนุโมทนาอาสนะ
ดอกไม้แก่ดาบสทั้งหลายผู้ทำสักการะ" พระเถระมีใจยินดีประดุจแม่ทัพ
ใหญ่ประสบลาภใหญ่ จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ ตั้งอยู่ในสาวก-
บารมีญาณ เริ่มอนุโมทนาอาสนะดอกไม้แล้ว. ในที่สุดเทศนาของพระ-
นิสภเถระนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวกองค์ที่ 2 ด้วยรับสั่งว่า
" ภิกษุ แม้เธอก็จงแสดงธรรม." พระอโนมเถระพิจารณาพระพุทธ-
วจนะคือพระไตรปิฎกกล่าวธรรมแล้ว. ด้วยเทศนาของพระอัครสาวก
ทั้งสอง การตรัสรู้มิได้มีแล้วแม้แก่ดาบสรูปหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระศาสดา ทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยไม่มีปริมาณ ทรง
เริ่มพระธรรมเทศนาแล้ว. ในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันยกสรท-
ดาบสเสีย ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว. พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์
ตรัสว่า "เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด ." ทันใดนั้นเอง ผมและ
หนวดของชฎิลเหล่านั้นได้อันตรธานไปแล้ว. บริขาร 8 ได้สวมกายแล้ว
เทียว.
มีคำถามสอดเข้ามาว่า "เพราะเหตุไร ? สรทดาบสจึงไม่ได้บรรลุ

พระอรหัต."
แก้ว่า "เพราะความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน."
ได้ยินว่า จำเดิมแต่กาลที่สรทดาบสนั้น เริ่มฟังธรรมเทศนาของ
พระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่ 2 แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตั้งอยู่ใน
สาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่ เกิดความคิดขึ้นว่า "โอหนอ ! แม้เราพึง
ได้รับธุระที่พระสาวกรูปนี้ได้รับในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้จะบังเกิด
ในอนาคต." ด้วยปริวิตกนั้น สรทดาบสนั้นจึงไม่ได้อาจเพื่อทำการแทง
ตลอดมรรคผลได้. ก็ท่านยืนถวายบังคมพระตถาคตเจ้าแล้ว ในที่เฉพาะ
พระพักตร์ กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ภิกษุที่นั่งบนอาสนะในลำดับแห่ง
พระองค์มีชื่อว่าเป็นใคร ? ในศาสนาของพระองค์."
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุผู้ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไป
ตาม บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ แทงตลอดปัญญา 16 อย่าง ตั้งอยู่,
ผู้นี้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกในศาสนาของเรา." ท่านได้ทำความปรารถนาว่า
"พระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งสักการะที่ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ทำแล้วตลอด
7 วันนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะหรือความเป็น
พรหมอย่างอื่น, แต่ขอข้าพระองค์ พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระนิสภเถระองค์นี้."
พระศาสดา ทรงส่งพระอนาคตังสญาณไปพิจารณาว่า " ความ
ปรารถนาของบุรุษผู้นี้ จักสำเร็จหรือหนอแล ?" ได้ทรงเห็นว่าผ่าน 1
อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ไปแล้วจะสำเร็จ, ครั้นทรงเห็นแล้วจึงตรัส
กะสรทดาบสว่า "ความปรารถนาของท่านนี้จักไม่เปล่าประโยชน์, ก็ใน
อนาคต ล่วงไป 1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ พระพุทธเจ้าพระนาม

ว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก. พระมารดาของพระองค์จักมีพระนาม
ว่ามหามายาเทวี. พระบิดาของพระองค์จักมีพระนามว่าสุทโธทนมหาราช,
พระโอรสจักมีพระนามว่าราหุล. พระผู้อุปัฏฐากจักมีนามว่าอานนท์, พระ-
สาวกที่ 2 จักมีนามว่าโมคคัลลานะ, ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวก
ของพระองค์ นามว่าธรรมเสนาบดีสารีบุตร1." ครั้นทรงพยากรณ์ดาบส
อย่างนั้นแล้ว ตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมเหาะไปแล้ว.
ฝ่ายสรทดาบส ไปยังสำนักพวกพระเถระผู้อันเตวาสิก แล้วส่งข่าวไป
แก่สิริวัฑฒกุฎุพีผู้สหายว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงบอกแก่
สหายของข้าพเจ้าว่า 'สรทดาบสผู้สหายของท่านได้ปรารถนาตำแหน่ง
พระอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ซึ่งจะทรงอุบัติ
ขึ้นในอนาคต แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีแล้ว,
ท่านจงปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกที่ 2." ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนั้น
แล้ว ได้ไปโดยข้างหนึ่งก่อนกว่าพระเถระทั้งหลายเทียว ได้ยืนอยู่ริมประตู
เรือนของสิริวัฑฒะแล้ว. สิริวัฑฒะกล่าวว่า "นานหนอพระคุณเจ้าของเรา
จึงมา" ดังนี้แล้ว นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ. ตนนั่งบนอาสนะต่ำกว่าแล้ว
เรียนถามว่า " ( ทำไม ? ) อันเตวาสิกบริษัทของพระคุณเจ้าจึงหายไป
เจ้าข้า"
สรทะ. อย่างนั้น สหาย พระพุทธเจ้าอโนมทัสสี เสด็จมายังอาศรม
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย. พวกข้าพเจ้าทำสักการะแด่พระองค์ตามกำลังของตน,
พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดพวกข้าพเจ้าทุก ๆ คน, ในกาลจบเทศนา
เว้นข้าพเจ้าคนเดียว ที่เหลือบรรลุพระอรหัตแล้วบวช. ข้าพเจ้าเห็น

1. ขุ. พุ. 33/543.

พระนิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดา จึงปรารถนาตำแหน่งพระอัคร-
สาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต,
แม้เธอก็จงปรารถนาตำแหน่งสาวกที่ 2 ในศาสนาของพระองค์ท่าน."
สิริวัฑฒะ. ข้าพเจ้าไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย
ขอรับ.
สรทะ. เรื่องที่จะทูลกับพระพุทธเจ้า เป็นภาระของข้าพเจ้าของ,
เธอจงจัดสักการะยิ่งใหญ่ไว้เถอะ.
สิริวัฑฒะ ฟังคำของสรทดาบสนั้นแล้ว ให้ทำสถานที่ประมาณ
8 กรีส1 โดยมาตราหลวง ที่ประตูเรือนของตนให้มีพื้นเสมอแล้ว เกลี่ย
ทรายโปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ 5 ให้ทำมณฑปมุงด้วยดอกอุบลเขียว
ตบแต่งพุทธอาสน์ จัดอาสนะแม้แก่ภิกษุเหลือ จัดสักการะและเครื่อง
ต้อนรับเป็นอันมากแล้ว ได้ให้สัญญาแก่สรทดาบสเพื่อประโยชน์นิมนต์
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระดาบส ได้พาภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปที่อยู่ของ
สิริวัฑฒกฎุมพีนั้นแล้ว.
ฝ่ายสิริวัฑฒกุฎุมพี ทำการต้อนรับ รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระ-
ตถาคต เชิญเสด็จให้เข้าไปสู่มณฑป ถวายน้ำทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งนั่งบนอาสนะที่แต่งไว้ อังคาสด้วยโภชนะ
อันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข ครองผ้าอันมีค่ามากแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ความริเริ่มนี้มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งมีประมาณน้อย ขอ

1. กรีส เป็นมาตราวัดชนิดหนึ่ง 1 กรีส = 125 ศอก หรือ 1 เส้น 11 วา 1 ศอก.

พระองค์ทรงทำความอนุเคราะห์โดยทำนองนี้แล ตลอด 7 วัน."
พระศาสดาทรงรับแล้ว. เขายังมหาทานให้เป็นไปโดยทำนองนั้น
นั่นแล ตลอด 7 วัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคอง
อัญชลี กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า สรทดาบสสหายของข้าพระองค์ปรารถนา
ว่า 'เราพึงเป็นพระอัครสาวกของพระศาสดาพระองค์ใด, ข้าพระองค์
พึงเป็นพระสาวกที่ 2 ของพระศาสดาพระองค์นั้นเหมือนกัน." พระ-
ศาสดา ทรงพิจารณาถึงอนาคตกาล ทรงเห็นภาวะคือความสำเร็จ
แห่งความปรารถนาของเขา จึงทรงพยากรณ์ว่า "แต่นี้ล่วงไป 1 อสง-
ไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ แม้ท่านก็จักเป็นพระสาวกที่ 2 ของพระพุทธเจ้า
พระนามว่าโคดม."
สิริวัฑฒะ ฟังพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ได้เป็นผู้
ร่าเริงบันเทิงแล้ว, แม้พระศาสดา ทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อม
ทั้งบริวารเสด็จไปยังวิหารแล. ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความปรารถนาที่บุตร
ของเราปรารถนาแล้วในครั้งนั้น. อัครสาวกทั้งสองนั้น ได้ตำแหน่งตามที่
ตนปรารถนานั่นแล, เราหาได้เลือกหน้าให้ไม่."

สองอัครสาวกทูลเรื่องปัจจุบันแด่พระศาสดา


เมื่อพระศาสดา ตรัสพระพุทธพจน์อย่างนั่นแล, สองพระอัคร-
สาวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลเล่าเรื่องอันเป็นปัจจุบัน (เกิดขึ้น
เฉพาะหน้า ) ทั้งหมดว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (ครั้ง) ข้าพระองค์
ยังเป็นผู้ครองเรือนอยู่ไปดูมหรสพบนยอดเขา," ดังนี้เป็นต้น จนถึงการ
แทงตลอดโสดาปัตติผลจากสำนักพระอัสสชิเถระแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่