เมนู

เป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหม
ว่าอะไรคือสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย
แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่าสิ่งมีความโศก
เป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็น
อุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้น
ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีความโศกเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา
อยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งมีกิเลสเป็นธรรมดา. บุตร ภรรยา
ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน
เรียกว่าสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา
เหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา
เหล่านั้น ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็น
ธรรมดาอยู่นั่นแหละ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ.

ว่าด้วยการแสวงหาสิ่งประเสริฐ


[315] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน. คน
บางคนในโลกนี้ ตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็น
ธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษม
จากโยคะ ตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา
ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ ตนเอง
เป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา
พระนิพพาน หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะตนเอง
มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา
พระนิพพาน ที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ ตนเองเป็น
ผู้มีโศกเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระ-
นิพพาน ที่หาโศกมิได้ เกษมจากโยคะ ตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่
เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้แล
คือการแสวงที่ประเสริฐ.
[316] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้
เป็นโพธิสัตว์อยู่ ตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็น
ธรรมดานั่นแล เป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดา
นั่นแล เป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดานั่นแล
เป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดานั่นแล เป็นผู้มี
โศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดานั่นแล เป็นผู้มี
สังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดานั่นแล เราจึงคิด
ดังนี้ว่า เราเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา
อยู่เล่า เรามีชราเป็นธรรมดา ทำไมจึงแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดาอยู่เล่า
เราเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดาทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่เล่า
เป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่เล่า
เป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีโศกเป็นธรรมดาอยู่เล่า
เป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดาอยู่เล่า
ถ้ากระไร เราเมื่อเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติ
เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัด โทษในสิ่งมีชรา
เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษในสิ่งมี
พยาธิเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่น
ยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดาก็ควรทราบชัด
โทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรม แล้วแสวงหาพระนิพพานที่ไม่ตาย หาธรรมอื่น

ยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษ
ในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรม
อื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัด
โทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง
หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ.

เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบส


[317] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยต่อมา เรากำลังรุ่นหนุ่ม มีเกศา
ดำสนิท ยังอยู่ในปฐมวัย เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาจะให้
บวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ จึงปลงผมและหนวด
นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนไม่มีเรือนบวช เมื่อบวชแล้ว ก็เสาะหา
ว่ากุศลเป็นอย่างไร ขณะที่แสวงหาทางสงบระงับอันประเสริฐซึ่งหาทางอื่นยิ่ง
กว่ามิได้ ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้ว กล่าวว่า ท่านกาลามะ
ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้. เมื่อเรากล่าวอย่างนี้
อาฬารดาบส กาลามโคตร จึงกล่าวกะเราว่า เชิญอยู่เถิดท่าน ธรรมนี้ก็เป็น
ธรรมเช่นเดียวกับที่วิญูชนทำให้แจ้งลัทธิของอาจารย์ตนด้วยความรู้ยิ่งเอง
เข้าถึงอยู่ไม่ช้าเลย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเรียนธรรมนั้นได้โดยรวดเร็ว
ไม่นานเราเพียงเปิดปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น เราก็กล่าวญาณวาทและเถรวาท
ได้ และทั้งเราทั้งผู้อื่นก็ทราบชัดว่า เรารู้ เราเห็น. เราจึงคิดว่า อาฬาร
ดาบส กาลามโคตร ย่อมบอกธรรมนี้มิใช่โดยเหตุเพียงความเชื่ออย่างเดียวว่า
เรากระทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งโดยตนเองเข้าถึงอยู่ โดยที่แท้ อาฬารดาบส
กาลพโคตร ก็รู้เห็นธรรมนี้อยู่. ต่อนั้นเราจึงเข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร
แล้วถามว่า ท่านกาลามะ ท่านกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมนี้ ด้วยความรู้ยิ่งโดย
ตนเอง เข้าถึง บอกโดย ด้วยเหตุเพียงเท่าใด. เมื่อเราถามอย่างนี้ อาฬารดาบส
กาลามโคตร จึงบอกอากิญจัญญายตนสมาบัติแก่เรา. เราจึงคิดว่า มิใช่แต่