เมนู

อรรถกถาอนุมานสูตร


อนุมานสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับดังนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภคฺเคสุ ได้แก่ ในชนบทมีชื่ออย่างนั้น.
ก็เนื้อความแห่งคำพึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วในที่นี้ . บทว่า สํสุมารคิเร
ได้แก่ ในนครมีชื่ออย่างนั้น. ได้ยินว่า ในวันเป็นที่กำหนดพื้นที่สร้างนครนั้น
จระเข้ในสระอันไม่ไกลได้ร้องขึ้น เปล่งเสียงว่า คิระ ครั้นสร้างนครนั้น
เสร็จแล้ว ประชาชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อนครนั้นว่า สังสุมารคิร. บทว่า เภสก-
ฬาวเน
ได้แก่ ในป่าอันมีชื่อว่า เภสกฬา. บาลีว่า เภสกวัน ดังนี้ก็มี.
บทว่า มิคทาเย ความว่า ป่านั้นได้เกิดในที่เป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อและนกทั้ง
หลาย เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า มิคทายะ. บทว่า ปวาเรติ ได้แก่ ย่อม
ปรารถนา. บทว่า วทนฺตุ ความว่า จงว่ากล่าว คือ จงโอวาท จงพร่ำสอน
ด้วยสามารถแห่งโอวาทและอนุสาสนี. บทว่า วจนีโยมฺหิ ความว่า เราอัน
ท่านพึงว่ากล่าว คือ พึงพร่ำสอน พึงโอวาท. บทว่า โส จ โหติ ทุพฺพโจ
ความว่า ก็ภิกษุนั้นเป็นผู้ว่ากล่าวโดยยาก คือ กล่าวแล้วไม่อดทน. บทว่า
โทวจสฺสกรเณหิ ความว่า ด้วยธรรม 16 ประการ อันมาแล้วในข้างหน้า
ซึ่งเป็นธรรมทำให้เป็นผู้ว่ากล่าวโดยยาก. บทว่า อปทกฺขิณคฺคาหี อนุ-
สาสนึ
ความว่า ก็ภิกษุใด เมื่อถูกว่ากล่าว จึงพูดว่า ท่านทั้งหลายว่ากล่าว
ผมเพราะเหตุไร ผมย่อมรู้สิ่งที่ควรและไม่ควร โทษและไม่ใช่โทษ ประโยชน์
และไม่ใช่ประโยชน์ของตน ภิกษุนี้ ชื่อว่าไม่รับคำพร่ำสอนโดยเบื้องขวา ย่อม
รับโดยเบื้องซ้าย เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ไม่รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ. บทว่า
ปาปกานํ อิจฺฉานํ คือ ความปรารถนาอันก่อให้เกิดความไม่สงบลามก.
บทว่า ปฏิปฺผรติ ย่อมดำรงตนเป็นผู้โต้ตอบเป็นข้าศึก. บทว่า อปสาเทติ

ความว่า ย่อมพยายามอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วแก่ท่านผู้พาล ไม่ฉลาด
ธรรมดาแม้ท่านจักสำคัญคำที่พึงกล่าวมิใช่หรือ. บทว่า ปจฺจาโรเปติ
ความว่า กลับปรักปรำอย่างนี้ว่า แม้ท่านก็ต้องอาบัติชื่อนี้ ท่านจงทำคืน
อาบัตินั้นก่อน. บทว่า อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ คือ ปกปิดด้วยเรื่องอื่น
ด้วยคำอื่น หรือกลบเกลื่อนเรื่องอื่น คำอื่น. ครั้นภิกษุอื่นกล่าวว่า ท่านต้อง
อาบัติ ก็พูดว่า ใครต้อง ต้องอาบัติอะไร ต้องในที่ไหน ท่านพูดกะใคร
ท่านพูดอะไร ดังนี้ ครั้นภิกษุอื่นพูดว่า ท่านได้เห็นอะไรๆ เห็นปานนี้ ก็
เบือนหู ว่าเราจะไม่ฟัง ดังนี้. บทว่า พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ ความ
ว่า ภิกษุนั้น ถูกภิกษุผู้เป็นโจทก์ ถามว่า ท่านต้องอาบัติชื่อนี้ ก็พูดว่า เรา
ไปสู่เมืองปาตลิบุตร ครั้นภิกษุผู้โจทก์กล่าวอีกว่า พวกเราไม่ได้ถามถึงการไป
เมืองปาฏลีบุตรของท่าน พวกเราถามถึงอาบัติ แต่นั้นก็กล่าวคำมีอาทิว่า
ข้าพเจ้าไปสู่เมืองราชคฤห์ ท่านจงไปสู่เมืองราชคฤห์ หรือท่านต้องอาบัติใน
บ้านพราหมณ์ ท่านได้เนื้อสุกรในบ้านพราหมณ์นั้น ดังนี้ ชื่อว่า พูดนอก
เรื่อง. บทว่า อปทาเน คือ ในความประพฤติของตน. บทว่า น สมฺ-
ปายติ
ความว่า ภิกษุถูกภิกษุผู้เป็นโจทก์ถามถึงความประพฤติโดยนัยมีอาทิว่า
ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านอาศัยใครอยู่. หรือว่าท่านพูดกะผู้ใด ผู้นั้น
ต้องอาบัติอันข้าพเจ้าเห็นแล้ว ๆ หรือว่า ในสมัยนั้น ท่านทำอะไร ข้าพเจ้าทำ
อะไร หรือ ท่านอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ดังนี้ ก็ไม่อาจเพื่อให้พอใจกล่าว.
บทว่า ตตฺราวุโส ความว่า ดูก่อนุผู้มีอายุ ในธรรม 16 ประการนั้น. บทว่า
อตฺตนาว อตฺตานํ เอวํ อนุมานิตพฺพํ ความว่า พึงอนุมาน พึงชั่ง พึง
เทียบเคียง พึงพิจารณาตนด้วยตนเองเทียว อย่างนี้. บทว่า อโหรตฺ-
ตานุสิกฺขินา
ความว่า ภิกษุเมื่อศึกษาแม้ตลอดวันตลอดคืน พึงศึกษากุศล
ธรรมทั้งหลายทั้งกลางคืนและกลางวัน ยังปีติและความปราโมทย์นั้นเทียวให้

เกิดขึ้น. บทว่า อจฺเฉ วา อุทกปตฺเต คือ ในภาชนะน้ำอันใส. บทว่า
มุขนิมิตฺตํ ได้แก่ เงาหน้า. บทว่า รชํ ได้แก่ ธุลีที่จรมา. บทว่า องฺคณํ
ได้แก่จุคตกกระหรือต่อมที่เกิดบนใบหน้านั้น. พระเถระแสดงการละทั้งหมด
ด้วยบทนี้ว่า ซึ่งอกุศลธรรมอันชั่วเหล่านี้แม้ทั้งหมดที่ยังละไม่ได้. อย่างไร.
อย่างนี้คือ พระเถระแสดงปฏิสังขานปหานะแก่ภิกษุผู้ยังการพิจารณาให้เกิดขึ้น
ว่า อกุศลธรรมประมาณเท่านี้ ไม่สมควรแก่บรรพชิต แสดงวิกขัมภนปหานะ
แก่ภิกษุผู้ทำศีลให้เป็นปทัฏฐานแล้ว ปรารภกสิณบริกรรม ยังสมาบัติแปดให้
เกิดขึ้น แสดงตทังคปหานะแก่ภิกษุผู้ทำสมาบัติให้เป็นปทัฏฐานแล้ว เจริญ
วิปัสสนา แสดงสมุจเฉทปหานะแก่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาแล้ว อบรมมรรค
แสดงปฏิปัสสัทธิปหานะ เมื่อผลมาแล้ว เแสดงนิสสรณปหานะ เมื่อนิพพาน
มาแล้ว เพราะฉะนั้น ปหานะทั้งหมดเป็นอันพระเถระแสดงแล้วเทียวในสูตร
นี้ด้วยประการฉะนี้. โบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็สูตรนี้ ชื่อว่า ภิกขุ
ปาฏิโมกข์.
โบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ภิกษุพึงพิจารณาวันละ 3 ครั้ง
ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุเข้าไปสู่สถานที่อยู่ แต่เช้าตรู่เทียว แล้วนั่งพิจารณา
ว่า กิเลสมีประมาณเท่านี้ ของเรามีอยู่ไม่หนอแล ถ้าเห็นว่า มี พึงพยายาม
เพื่อละกิเลสเหล่านั้น ถ้าเห็นว่า ไม่มี พึงเป็นผู้มีใจเป็นของตนว่า เราบวช
ดีแล้ว ทำภัตกิจนั่งในที่พักกลางคืน หรือในที่พักกลางวันแล้ว พึงพิจารณา
บ้าง นั่งในที่อยู่ในเวลาเย็น พึงพิจารณาบ้าง เมื่อไม่อาจพิจารณาถึงวันละ 3 ครั้ง
ก็พึงพิจารณาเพียง 2 ครั้ง แต่เมื่อไม่อาจถึง 2 ครั้ง ก็พึงพิจารณาเพียง 1
ครั้ง ที่เหลือ ไม่พิจารณาเลย ไม่สมควร ดังนี้. คำที่เหลือในบททั้งปวง
มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาอนุมานสูตรที่ 5

6. เจโตขีลสูตร


[226] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแหละ พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[227] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูป
ใดรูปหนึ่งไม่ละตะปูตรึงใจ 5 ประการ ไม่ถอนเครื่องผูกพันใจ 5 ประการ
ภิกษุนั้นหนอจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้.
[228] ตะปูตรึงใจ 5 ประการ อันเธอยังละไม่ได้เป็นไฉน. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ
ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบ
แคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความ
เพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อ เพื่อความเพียร
ที่ตั้งมั่น. ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความ
ประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น อย่างนี้ ชื่อว่า
ตะปูตรึงใจประการที่ 1 ที่ภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่
ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย
เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรมนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อ