เมนู

ได้กล่าวสรรเสริญด้วยอำนาจแห่งชื่อทีเดียว อย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อพุทธรักขิต
ได้ปฐมฌาน ชื่อธรรมรักขิต ได้ทุติยฌานดังนี้เป็นต้น
บรรดาบทเหล่านั้น ข้อว่า เอโสเยว โข อาวุโส เสยฺโย
ความว่า การช่วยอำนวยกิจการ และการนำข่าวสาส์นไปด้วยความเป็นทูต มี
ข้าศึกมาก มีการแข่งดีกันมาก ทั้งเป็นของไม่สมควรแก่สมณะ , ส่วนข้อที่พวก
เราพากันกล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นั้นแล เป็นสิ่งที่
น่าสรรเสริญกว่า คือ ยอดเยี่ยมกว่าได้แก่ ดีกว่ากิจทั้งสองนั้น เป็นไหนๆ. ท่าน
กล่าวอธิบายไว้อย่างไร ? กล่าวไว้ว่า ข้อที่พวกเราจักพากันกล่าวชมอุตริมนุส-
ธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ ผู้ถามถึง หรือผู้มิได้ถามถึงภิกษุผู้นั่งพัก
อิริยาบถอยู่หรือโดยมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อโน้นนี้ ได้ปฐมฌาน นี้แลประ
เสริฐที่สุด.

[อธิบายศัพท์กิริยาอนาคต]


ก็ เมื่อความสัมพันธ์ด้วยกิริยาอนาคต ไม่มี ภิกษุเหล่านั้น จักกล่าว
ชมคุณนั้น ในขณะนั้นไม่ได้เลย, เพราะเหตุนั้น เนื้อความที่ท่านมิได้แต่ง
ปาฐะที่เหลือ กล่าวไว้ว่า ภาสิโต ภวิสฺสโต จึงไม่ถูก ; เพราะฉะนั้น ใน
บทว่า ภาสิโต นี้ บัณฑิตควรทำไห้มีความสัมพันธ์ด้วยกิริยาอนาคต แล้ว
พึงทราบอรรถอย่างนี้ว่า คุณอย่างใด จักเป็นสิ่งที่พวกเรากล่าวชมอย่างนั้น
คุณอย่างนั้นต้องประเสริฐที่สุด. แต่นักศึกษา ควรแสวงหาลักษณะจากคัมภีร์
ศัพทศาสตร์.
สองบทว่า วณฺณวา* อเหสุํ ความว่า วรรณะแห่งสรีระที่ใหม่เอี่ยม
อย่างอื่นนั่นแล เกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น ได้เป็นผู้มีน้ำนวล
ด้วยวรรณะนั้น
//* บาลีเป็น วณฺณวนฺโต

บทว่า ปินินฺทฺริยา ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีอินทรีย์อิ่ม โดยความ
ที่อินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ 6 ไม่เหี่ยวแห้ง เพราะโอกาสที่ประสาททั้ง 5
ตั้งมั่น เป็นของบริบูรณ์.
บทว่า ปสนฺนมุขวณฺณา มีความว่า เป็นผู้มีน้ำนวลโดยไม่แปลก
กัน แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น สีหน้าของภิกษุเหล่านั้น ก็ผ่องใสเกินไป กว่า
วรรณะแห่งสรีระ. อธิบายว่า ผ่องใสไม่หม่นหมอง คือบริสุทธิ์.
บทว่า วิปฺปสนฺนจฺฉวิวณฺณา มีความว่า ก็ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มี
น้ำนวลด้วยวรรณะใด ซึ่งเป็นเช่นกับดอกกรรณิการ์, วรรณะเช่นนั้นของ
มนุษย์ทั้งหลายแม้เหล่าอื่น ก็มีอยู่,* เหมือนอย่างว่า (วรรณะเช่นนั้น ) ของ
มนุษย์เหล่านี้เป็นฉันใด, ของภิกษุเหล่านั้น ไม่เป็นฉัน นั้น คือ ผิวพรรณ
ของภิกษุเหล่านั้น ผุดผ่อง. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย
จึงกล่าวไว้ว่า มีผิวพรรณผุดผ่อง. ด้วยประการอย่างนี้แล ภิกษุเหล่านั้น
ไม่หมั่นประกอบอุเทศและปริปุจฉาเลย ทั้งไม่หมั่นประกอบกรรมฐานด้วย.
โดยที่แท้ ครั้นฉันโภชนะที่ประณีต ซึ่งได้มาด้วยการพรรณนาคุณที่ไม่เป็นจริง
เป็นการหลอกลวง แม้ตามประกอบอยู่, ซึ่งความเป็นผู้ยินดีในความหลับตาม
สบาย และความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ จึงถึงความโสภาทางสรีระนี้
มีส่วนเปรียบเหมือนพวกพาลมฤคคึกคะนอง ฉะนี้แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ถามพวกภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา


บทว่า วคฺคุมุทาตีริยา ได้แก่ พวกภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
ข้อว่า กิจฺจิ ภิกฺขเว ขมนิยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย . สรีรยนต์นี้ของพวกเธอ ซึ่งมีจักร 4 มีทวาร 9
//* น่าจะเป็น กตฺถิ ตามในอัตถโยชนา 2/419 เพราะรูปเรื่องก็เป็นเช่นนั้น คือพวกภิกษุ
//มีสีหน้าผ่องใส แต่พวกมนุษย์ไม่ผ่องใสเหมือนพวกภิกษุ.