เมนู

ถามว่า พระอรหัตมรรค ของคนเหล่าอื่น จัดเป็นโพธิ (ความตรัสรู้)
อย่างยอดเยี่ยมหรือไม่ ?
แก้ว่า ไม่เป็น.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็น ?
แก้ว่า เพราะพระอรหัตมรรคของคนเหล่าอื่นนั้น อำนวยคุณให้ไม่ได้
ทุกอย่าง.
จริงอยู่ พระอรหัตมรรคของบรรดาคนเหล่านั้น บางคนให้เฉพาะ
พระอรหัตผลเท่านั้น. ของบางคน ให้เฉพาะวิชชา 3. ของบางคน ให้เฉพาะ
อภิญญา 6. ของบางคน ให้เฉพาะปฏิสัมภิทา 4. ของบางคน ให้เฉพาะ
สาวกบารมีญาณ. ถึงของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ให้เฉพาะปัจเจกโพธิ-
ญาณเท่านั้น. ส่วนพระอรหัตมรรคของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมให้คุณสมบัติ
ทุกอย่าง ดุจการอภิเษกของพระราชาให้ความเป็นใหญ่ในโลกทั้งหมด ฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น พระอรหัตมรรค แม้ของคนอื่นบางคน จึงไม่จัดเป็นโพธิ
(ความตรัสรู้) อย่างยอดเยี่ยม ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เราได้รู้ยิ่งแล้ว คือได้แทงตลอดแล้ว
อธิบายว่า เราได้บรรลุแล้ว คือได้ถึงทับแล้ว.

[ข้อเปรียบเทียบการทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาเหมือนการฟักไข่]


บัดนี้ บัณฑิตควรเทียบเคียงคำอุปมาอุปไมย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เอวเมว โข อหํ พฺราหฺมณ แล้วพึงทราบโดย
ใจความ โดยนัยดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ : -

เหมือนอย่างว่า ข้อที่แม่ไก่นั้น ทำกิริยาทั้ง 3 มีนอนกกอยู่บนฟอง
ไข่ทั้งหลายเป็นต้นของตน ฉันใด ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิ-
สัตว์ ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ แล้วทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 คือ ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในจิตสันดานของพระองค์ ก็ฉันนั้น.
ความไม่เสื่อมไปแห่งวิปัสสนาญาณ ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยัง
เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือน
ฟองไข่ทั้งหลายไม่เน่า ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3 ให้ถึงพร้อมฉะนั้น.
ความสิ้นไปแห่งความสิเนหา คือความติดใจไปตามไตรภพ ก็เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้
ถึงพร้อม เปรียบเหมือนความสิ้นไปแห่งยางเมือก แห่งฟองไข่ทั้งหลาย ก็เพราะ
แม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น.
ความที่กระเปาะฟองคืออวิชชา เป็นธรรมชาติบาง ก็เพราะพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้ถึงพร้อม
เปรียบเหมือนภาวะที่กระเปาะฟองไข่เป็นของบาง ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3
ฉะนั้น.
ความที่วิปัสสนาญาณเป็นคุณชาติกล้าแข็ง ผ่องใสและองอาจ ก็เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้
ถึงพร้อม เปรียบเหมือนภาวะที่เล็บเท้า และจะงอยปากของลูกไก่เป็นของหยาบ
และแข็ง ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น.
ควรทราบเวลาที่วิปัสสนาญาณแก่เต็มที่ เวลาเจริญ (และ) เวลาถือ
เอาห้อง ก็เพราะพระผู้มีภาคเจ้า ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ

อนุปัสสนาทั้ง 3 ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่แก่เต็มที่ ก็เพราะ
แม่ไม่ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น ควรทราบเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้วิปัสสนา
ญาณถือเอาห้อง แล้วทำลายกระเปาะฟองคือวิชชาด้วยพระอรหัตมรรค ที่
พระองค์ได้ทรงบรรลุโดยลำดับ แล้วทรงปรบปีกคืออภิญญา จึงทรงทำให้แจ้ง
ซี่งพระพุทธคุณทั้งหมด โดยความสวัสดี ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้ถึงพร้อม เปรียบเหมือนแล้วเวลาที่ลูกไก่
เอาปลายเล็บเท้า และจะงอยปากกะเทาะกระเปาะฟองไข่ แล้วปรบปีกออกมาได้
โดยความสวัสดี ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น.
หลายบทว่า สฺวาหํ พฺราหฺมณ เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ โลกสฺส ความว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ! บรรดาหมู่สัตว์ ผู้ตกอยู่ในอวิชชาเรานั้นได้ทำลายกระเปาะ
ฟอง คือ อวิชชานั้น แล้วถึงความนับว่า เป็นผู้ที่เจริญที่สุด คือเจริญอย่าง
สูงสุด เพราะเป็นผู้เกิดแล้วโดยอริยชาติก่อนกว่าเขา เปรียบเหมือนบรรดา
ลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวที่กะเทาะกระเปาะฟองไข่ ออกมาได้ก่อนกว่าเขา ย่อม
เป็นไก่ตัวพี่ ฉะนั้น, ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าถึงความนับว่า เป็นผู้
ประเสริฐที่สุด เพราะไม่มีใครทัดเทียมได้ด้วยพระคุณทั้งปวง.

[พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ประเสริฐเพราะบำเพ็ญเพียร]


พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งทรงประกาศความที่พระองค์ เป็นผู้เจริญ
ที่สุดและและประเสริฐที่สุด อย่างยอดเยี่ยมแก่พราหมณ์อย่างนั้นแล้ว บัดนี้ เพื่อ
จะทรงแสดงปฏิปทา ที่เป็นเหตุให้พระองค์ทรงบรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุด
เป็นต้นนั้น จำเดิมแต่ส่วนเบื้องต้น จึงตรัสว่า อารทฺธํ โข ปน เม
พฺราหฺมณ
เป็นต้น.