เมนู

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] 2. เวทนาติกะ 7. ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[39] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ แล้วพิจารณาด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ออกจาก
ฌานที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาด้วยจิตที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนา พระอริยะมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนา พิจารณากิเลสที่ละได้
แล้ว ซึ่งสัมปยุตด้วยสุขเวทนา พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น
บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนาเห็นแจ้งขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาโดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น เพราะ
ปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น (1)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนาโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว กลับมีวิปฏิสาร โทมนัสจึงเกิดขึ้น เมื่อฌานที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเสื่อมไปแล้ว กลับมีวิปฏิสาร โทมนัสจึงเกิดขึ้น เพราะ
ปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาจึงเกิดขึ้น (2)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ให้
ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ แล้วพิจารณาด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุข-
เวทนา ออกจากฌานที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว
พิจารณาด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา พระอริยะมีจิตสัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนา พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว ซึ่งสัมปยุตด้วยสุขเวทนา พิจารณา
กิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
เห็นแจ้งขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 40 หน้า :664 }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] 2. เวทนาติกะ 7. ปัญหาวาร
พระอริยะรู้จิตของบุคคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาด้วย
เจโตปริยญาณ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพ-
นิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณและอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น (3)
[40] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนาโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภโทสะ โทสะจึงเกิดขึ้น
โมหะจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภโมหะที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา โมหะจึงเกิดขึ้น
โทสะจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภกายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยทุกข์ โทสะจึงเกิดขึ้น
โมหะจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนาจึงเกิดขึ้น (1)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วสุข-
เวทนา โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนา พิจารณา
กิเลสที่ละได้แล้ว ซึ่งสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่
เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยสุขเวทนาเห็นแจ้งขันธ์ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น (2)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะมีจิตสัมปยุตด้วยอทุกขม-
สุขเวทนา พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว ซึ่งสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา พิจารณากิเลสที่
ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเห็นแจ้งขันธ์
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระอริยะ
รู้จิตของบุคคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาด้วยเจโตปริยญาณ
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภ
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาจึงเกิดขึ้น (3)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 40 หน้า :665 }