พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [13. เตรสมวรรค] 6. สัมมุขีภูตกถา (131)
สก. ราคะสัมปยุตด้วยจิต มรรคก็สัมปยุตด้วยจิตใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. มีการประชุมแห่งผัสสะ 2 อย่าง ฯลฯ จิต 2 ดวงใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. ราคะเป็นอกุศล แต่มรรคเป็นกุศลใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. สภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต
ที่เป็นฝ่ายดำ เป็นฝ่ายขาวและเป็นฝ่ายมีส่วนเปรียบ มาประชุมกันได้ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[669] สก. สภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและ
ประณีต ที่เป็นฝ่ายดำ เป็นฝ่ายขาว และเป็นฝ่ายมีส่วนเปรียบ มาประชุมกันได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่อยู่ห่างไกล
กันเหลือเกิน 4 อย่างนี้
สิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน 4 อย่าง อะไรบ้าง คือ
1. ท้องฟ้ากับแผ่นดิน นี้เป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกินอย่างที่ 1
ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ธรรมของสัตบุรุษจึงห่างไกลกันกับธรรมของอสัตบุรุษ1
มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบ องฺ.จตุกฺก. (แปล) 21/47/77
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [13. เตรสมวรรค] 6. สัมมุขีภูตกถา (131)
สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า สภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ
มาประชุมกันได้
สก. บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสังโยชน์ละสังโยชน์ได้ใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า บุคคลนั้น เมื่อจิตตั้งมั่นอย่างนี้
ฯลฯ ย่อมน้อมจิตไปเพื่อญาณเป็นเครื่องสิ้นอาสวะ1 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
ปร. ใช่
สก. ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสังโยชน์ละ
สังโยชน์ได้
[670] ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสังโยชน์ละสังโยชน์ได้
ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุนั้นเมื่อรู้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิต
ย่อมหลุดพ้นจากกามาสวะบ้าง ฯลฯ จากอวิชชาสวะบ้าง2 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสังโยชน์จึงละสังโยชน์ได้
สัมมุขีภูตกถา จบ
เชิงอรรถ :
1-2 ดูเทียบ ม.อุ. (แปล) 14/19/26