เมนู

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [12. ทวาทสมวรรค] 2. กัมมกถา (117)
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นรูปทางตาแล้วเป็นผู้รวบถือ ฯลฯ ไม่เป็นผู้รวบถือ ฟังเสียงทางหู ฯลฯ รู้
ธรรมารมณ์ทางใจแล้วเป็นผู้รวบถือ ฯลฯ ไม่เป็นผู้รวบถือ”1 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น ความสำรวมก็ดี ความไม่สำรวมก็ดีจึงเป็นกรรม
สังวโรกัมมันติกถา จบ

2. กัมมกถา (117)
ว่าด้วยกรรม
[633] สก. กรรมทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร.2 ใช่3
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายวิบากมีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่

เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบ ม.มู. (แปล) 12/349/381-382, องฺ.จตุกฺก. (แปล) 21/14/25
2 ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายมหาสังฆิกะ (อภิ.ปญฺจ.อ. 633-635/262)
3 เพราะมีความเห็นว่า กรรมทุกอย่างต้องให้ผล ไม่มีอโหสิกรรม ซึ่งต่างกับความเห็นของสกวาทีที่เห็นว่า
เจตนาทุกอย่างเป็นกรรม เจตนาที่เป็นกุศลและอกุศลให้ผล ส่วนเจตนาที่เป็นอัพยากฤตไม่ให้ผล
(เป็นอโหสิกรรม) (อภิ.ปญฺจ.อ. 633-635/262)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 37 หน้า :692 }


พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [12. ทวาทสมวรรค] 2. กัมมกถา (117)
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายกิริยามีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายวิบากที่เป็นกามาวจรมีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายวิบากที่เป็นรูปาวจร ที่เป็นอรูปาวจร ที่
เป็นโลกุตตระมีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายกิริยาที่เป็นกามาวจรมีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เจตนาทั้งปวงมีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายกิริยาที่เป็นรูปาวจร ที่เป็นอรูปาวจร ม
ีวิบากใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[634] สก. เจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายวิบากไม่มีวิบากใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. หากเจตนาที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายวิบากไม่มีวิบาก ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า
“เจตนาทั้งปวงมีวิบาก”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 37 หน้า :693 }