พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 11. อสัญญกถา (31)
[383] ปร. ท่านไม่ยอมรับว่า สัญญามีอยู่ในหมู่อสัญญสัตว์ ใช่ไหม
สก. ใช่
ปร. พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มีเทพชื่ออสัญญ-
สัตว์ จุติ(เคลื่อน)จากชั้นนั้น เพราะเกิดสัญญาขึ้น1 มีอยู่จริงมิใช่หรือ
สก. ใช่
ปร. ดังนั้น สัญญาจึงมีอยู่ในหมู่อสัญญสัตว์
สก. สัญญามีอยู่ในหมู่อสัญญสัตว์ใช่ไหม
ปร. บางคราวมี บางคราวไม่มี
สก. อสัญญสัตว์บางคราวเป็นสัญญสัตว์ บางคราวเป็นอสัญญสัตว์ ภพแห่ง
อสัญญสัตว์บางคราวเป็นภพที่มีสัญญา บางคราวเป็นภพที่ไม่มีสัญญา บางคราว
เป็นภพที่มีขันธ์ 5 บางคราวเป็นภพที่มีขันธ์ 1 ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บางคราวสัญญามีในหมู่อสัญญสัตว์ บางคราวไม่มีใช่ไหม
ปร. ใช่
สก. คราวไหนมี คราวไหนไม่มี
ปร. ในจุติกาล2 ในปฏิสนธิกาลมี3 แต่ในฐิติกาล(ปวัตติกาล)ไม่มี4
เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบ ที.ปา. (แปล) 11/46/33
2 จุติกาล หมายถึงเวลาหลังจากตายแล้วจิตเคลื่อนไปสู่อีกภพหนึ่ง
3 ปฏิสนธิกาล หมายถึงเวลาเกิด
4 ฐิติกาล หมายถึงเวลาที่จิตดำรงอยู่ระหว่างปฏิสนธิกาลกับจุติกาล
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [3. ตติยวรรค] 12. เนวสัญญานาสัญญายตนกถา (32)
สก. อสัญญสัตว์ ในจุติกาล ในปฏิสนธิกาล เป็นสัญญสัตว์ ในฐิติกาล
เป็นอสัญญสัตว์ ในจุติกาล ในปฏิสนธิกาล เป็นภพที่มีสัญญา ในฐิติกาล เป็นภพ
ที่ไม่มีสัญญา ในจุติกาล ในปฏิสนธิกาล เป็นภพที่มีขันธ์ 5 ในฐิติกาล เป็นภพ
ที่มีขันธ์ 1 ใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
อสัญญกถา จบ
12. เนวสัญญานาสัญญายตนกถา (32)
ว่าด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะ
[384] สก. ในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ ท่านไม่ยอมรับว่า สัญญามีอยู่
ใช่ไหม
ปร.1 ใช่
สก. เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นภพที่ไม่มีสัญญา เป็นคติที่ไม่มีสัญญา
เป็นสัตตาวาสที่ไม่มีสัญญา เป็นสงสารที่ไม่มีสัญญา เป็นกำเนิดที่ไม่มีสัญญา
เป็นการได้อัตภาพที่ไม่มีสัญญาใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นภพที่ไม่มีสัญญา เป็นคติที่ไม่มีสัญญา
เป็นสัตตาวาสที่ไม่มีสัญญา เป็นสงสารที่ไม่มีสัญญา เป็นกำเนิดที่ไม่มีสัญญา
เป็นการได้อัตภาพที่ไม่มีสัญญามิใช่หรือ
ปร. ใช่
เชิงอรรถ :
1 ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะ (อภิ.ปญฺจ.อ. 381/200)