เมนู

พระอภิธรรมปิฎก ปุคคลบัญญัติ 5. ปัญจกปุคคลบัญญัติ
ภิกษุผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตร 5 จำพวก
ฯลฯ
ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร 5 จำพวก
ฯลฯ
ภิกษุผู้ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร 5 จำพวก
ฯลฯ
ภิกษุผู้ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร 5 จำพวก
ฯลฯ
ภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร 5 จำพวก
ฯลฯ
ภิกษุผู้ถือการนั่งบนอาสนะตามที่ได้จัดไว้เป็นวัตร 5 จำพวก เป็นไฉน
ฯลฯ
[201] บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร 5 จำพวก
เป็นไฉน
ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร เพราะความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ มีความ
ปรารถนาเลวทราม ถูกความอยากครอบงำ เป็นผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร เพราะ
วิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน เป็นผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตรเพราะคิดว่า “การอยู่ป่าช้า
เป็นวัตรนี้ พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้ากล่าวสรรเสริญ”
อีกประการหนึ่ง เป็นผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร เพราะอาศัยความมักน้อย
อย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลาอย่าง
เดียว เพราะอาศัยความต้องการปฏิบัติในวัตรอันดีงามอย่างเดียว บรรดาภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุใดเป็นผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร เพราะอาศัยความมักน้อยอย่างเดียว เพราะ
อาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลาอย่างเดียว เพราะอาศัย
ความต้องการปฏิบัติในวัตรอันดีงามอย่างเดียว ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศ ประเสริฐสุด
เป็นประธาน สูงสุด และยิ่งใหญ่ที่สุด


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 36 หน้า :225 }


พระอภิธรรมปิฎก ปุคคลบัญญัติ 6. ฉักกปุคคลบัญญัติ
เปรียบเหมือนนมสดเกิดจากแม่โค นมส้มเกิดจากนมสด เนยข้นเกิดจากนม
ส้ม เนยใสเกิดจากเนยข้น ยอดเนยใสเกิดจากเนยใส ยอดเนยใสชาวโลกถือว่า
เป็นเลิศในบรรดานมสดเป็นต้นนั้น ฉันใด
บรรดาภิกษผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร 5 จำพวกนี้ ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร
เพราะอาศัยความมักน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว
เพราะอาศัยความขัดเกลาอย่างเดียว เพราะอาศัยความปฏิบัติในวัตรอันดีงามนี้
อย่างเดียว เป็นผู้เลิศ ประเสริฐสุด เป็นประธาน สูงสุด และยิ่งใหญ่ที่สุด ฉันนั้น
ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร 5 จำพวกเหล่านี้
ปัญจกนิทเทส จบ

6. ฉักกปุคคลบัญญัติ
[202] บรรดาบุคคเหล่านั้น บุคคลผู้ตรัสรู้สัจจะด้วยตนเองในธรรมที่ไม่
เคยสดับมาก่อนถึงความเป็นสัพพัญญูในธรรมนั้นและถึงความชำนาญในทศพลญาณ
บุคคลนั้นพึงทราบว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะสัพพัญญุตญาณนั้น
บุคคลผู้ตรัสรู้สัจจะด้วยตนเองในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อน แต่ไม่ถึงความ
เป็นสัพพัญญูในธรรมนั้นและไม่ถึงความชำนาญในทศพลญาณ บุคคลนั้นพึงทราบว่า
เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเพราะสัพพัญญุตญาณนั้น
บุคคลผู้ไม่ตรัสรู้สัจจะด้วยตนเองในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อน เป็นผู้ทำที่สุด
แห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันและบรรลุสาวกบารมีญาณ บุคคลเหล่านั้นพึงทราบว่า เป็น
พระสารีบุตรและเป็นพระโมคคัลลานะเพราะสาวกบารมีญาณนั้น
บุคคลผู้ไม่ตรัสรู้สัจจะด้วยตนเองในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อน เป็นผู้ทำที่สุด
แห่งทุกข์ได้ในปัจจุบัน แต่ไม่บรรลุสาวกบารมีญาณ บุคคลเหล่านั้นพึงทราบว่า
เป็นพระอรหันต์ที่เหลือเพราะการทำที่สุดแห่งทุกข์นั้น
บุคคลผู้ไม่ตรัสรู้สัจจะด้วยตนเองในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนและไม่ได้ทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน เป็นพระอนาคามี ไม่มาสู่โลกนี้อีก บุคคลนั้นพึงทราบว่า
เป็นพระอนาคามี เพราะการไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 36 หน้า :226 }