เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [3. ยุธัญชยวรรค] 4. ภิงสจริยา
[32] เราคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อมหาชนไม่เหนี่ยวรั้งไว้
ได้ตัดเครื่องผูกเสียแล้ว เข้าไปยังป่าใหญ่
เหมือนช้างทำลายปลอกหนีไปป่าใหญ่
[33] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
ยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่จะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล
อโยฆรจริยาที่ 3 จบ

4. ภิงสจริยา
ว่าด้วยจริยาของภิงสพราหมณ์
[34] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราอยู่ในกรุงกาสี
ซึ่งประเสริฐสุด มีน้องหญิงชาย 7 คน
เกิดในตระกูลโสตถิยพราหมณ์
[35] เราเป็นพี่ของน้องหญิงชายเหล่านั้น
ประกอบด้วยหิริและธรรมฝ่ายขาว
เราเห็นภพโดยความเป็นภัย
จึงยินดีอย่างยิ่งในการออกบวช
[36] พวกสหายร่วมใจของเรา ที่มารดาและบิดาส่งมาแล้ว
เชื้อเชิญเราด้วยกามทั้งหลายว่า เชิญท่านดำรงสกุลเถิด
[37] คำใดที่สหายเหล่านั้นกล่าวแล้ว
เป็นเครื่องนำสุขมาให้ในธรรมของคฤหัสถ์
คำนั้นเป็นเหมือนคำหยาบ เสมอด้วยผาลไถที่ร้อนสำหรับเรา
[38] ครั้งนั้น เราปฏิเสธอยู่
สหายเหล่านั้นได้ถามถึงความปรารถนาของเราว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :762 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [3. ยุธัญชยวรรค] 5. โสณนันทปัณฑิตจริยา
ท่านปรารถนาอะไรเล่าเพื่อน
ถ้าท่านไม่บริโภคกาม
[39] เราผู้ใคร่ประโยชน์แก่ตน ได้กล่าวแก่สหาย
ผู้แสวงหาประโยชน์เหล่านั้นว่า
เราไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์
เรายินดีอย่างยิ่งในการออกบวช
[40] สหายเหล่านั้นฟังคำเราแล้ว
ได้บอกแก่มารดาและบิดา
มารดาและบิดาได้กล่าวอย่างนี้ว่า
พ่อผู้เจริญ แม้เราทั้ง 2 ก็จะบวช
[41] มารดาและบิดาของเราทั้ง 2
และน้องหญิงชายทั้ง 7 ของเรา
ละทิ้งทรัพย์นับไม่ถ้วน
แล้วเข้าไปยังป่าใหญ่ ฉะนี้แล
ภิงสจริยาที่ 4 จบ

5. โสณนันทปัณฑิตจริยา
ว่าด้วยจริยาของโสณนันทบัณฑิต
[42] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเกิดในตระกูลมหาศาล
ซึ่งประเสริฐสุด อยู่ในกรุงพรหมวัทธนะ
[43] ครั้งนั้น เราเห็นสัตว์โลกเป็นผู้บอดถูกความมืดครอบงำ
จิตของเราเบื่อหน่ายจากภพ
เหมือนช้างที่ถูกสับด้วยกำลังขอมีความสลดใจ
[44] เราเห็นความชั่วต่าง ๆ จึงคิดอย่างนี้ ในกาลนั้นว่า
เมื่อไร เราจึงจะออกไปจากเรือนแล้วเข้าป่าใหญ่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :763 }