เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ 20. สิขีพุทธวงศ์
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[37] พระวีรเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นนระผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่สุมิตตาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่สุมิตตารามนั้น สูงถึง 7 โยชน์ ฉะนี้แล
วิปัสสีพุทธวงศ์ที่ 19 จบ

20. สิขีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสิขีพุทธเจ้า
[1] สมัยต่อจากพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้มีพระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบเทียบ
[2] ทรงย่ำยีมารและเสนามารแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
ทรงประกาศพระธรรมจักร เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย
[3] เมื่อพระชินเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าสิขี
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ 100,000 โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ 1
[4] เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่คณะ
เป็นผู้สูงสุดแห่งนระ ทรงแสดงธรรมแม้อื่นอีก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ 90,000 โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ 2

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :690 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ 20. สิขีพุทธวงศ์
[5] เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในมนุษย์โลกพร้อมเทวโลก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ 80,000 โกฏิ
ได้บรรรลุธรรมครั้งที่ 3
[6] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ก็ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ 3 ครั้ง
[7] พระขีณาสพจำนวน 100,000 รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ 1
มีพระขีณาสพจำนวน 80,000 รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ 2
[8] มีพระขีณาสพจำนวน 70,000 รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ 3
ภิกษุที่มาประชุมกันแม้นั้น ไม่แปดเปื้อนด้วยโลกธรรม
เหมือนดอกบัวที่เจริญในน้ำก็ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ
[9] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าอรินทมะ
ได้อังคาสพระสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ
[10] ได้ถวายผ้าอย่างดีมากมายหลายโกฏิผืน
ได้ถวายพาหนะคือช้างซึ่งประดับแล้วอย่างดี
แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[11] เราได้ทำราชพาหนะคือช้างให้เป็นของสมควรแก่สมณะ
แล้วนำไปถวาย ทำจิตของเราให้ตั้งมั่นเป็นนิตย์
[12] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปที่ 31 นับจากกัปนี้ไป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :691 }