เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [3. กุณฑลเกสีวรรค] 6. โสณาเถริยาปทาน
[223] หม่อมฉันไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้นในกาลนั้น
พระมหาวีรพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาว่า
‘ความตั้งใจปรารถนาของเธอจักสำเร็จ
[224] ในกัปที่ 100,000 นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[225] สตรีผู้นี้จักมีนามปรากฏว่าโสณา
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นสาวิกาของพระศาสดาพระองค์นั้น’
[226] หม่อมฉันได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว
เป็นผู้มีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา
บำรุงพระชินเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ
ด้วยปัจจัยทั้งหลายโดยประการเช่นนั้นจนตลอดชีวิต
[227] ด้วยกรรมที่หม่อมฉันได้ทำไว้ดีแล้วนั้น
และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น
หม่อมฉันละกายมนุษย์แล้ว
จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[228] บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย
หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญมั่งคั่งด้วยทรัพย์มาก
ในกรุงสาวัตถีที่ประเสริฐ
[229] เมื่อหม่อมฉันเจริญวัยเป็นสาวแล้ว
ได้ไปสู่ตระกูลสามี คลอดบุตรชาย 10 คน
ล้วนแต่มีรูปงามยิ่งนัก
[230] บุตรทุกคนนั้นดำรงอยู่ในความสุข
ติดตาตรึงใจผู้คนให้นิยม แม้แต่พวกศัตรูก็ชอบใจ
สำหรับหม่อมฉันไม่ต้องพูดถึง พวกเขาเป็นที่รัก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :485 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [3. กุณฑลเกสีวรรค] 6. โสณาเถริยาปทาน
[231] ครั้งนั้น โดยที่หม่อมฉันไม่ต้องการ
สามีหม่อมฉันพร้อมด้วยบุตรทั้ง 10 คน
พากันไปบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
[232] ในกาลนั้น หม่อมฉันอยู่แต่ผู้เดียวคิดว่า ‘พอละด้วยชีวิตของเรา
ผู้พลัดพรากจากสามีและบุตร เป็นคนแก่ น่าสงสาร
[233] แม้เราก็จักไปยังอารามที่สามีเราไปถึง’
ครั้นคิดอย่างนี้แล้วจึงบวชเป็นบรรพชิต
[234] ครั้งนั้น พวกภิกษุณีปล่อยหม่อมฉันไว้ในสำนักแต่เพียงผู้เดียว
สั่งหม่อมฉันว่า ‘เธอจงต้มน้ำไว้’ แล้วก็พากันจากไป
[235] ขณะนั้น หม่อมฉันนำน้ำมาแล้ว ใส่ลงไปในหม้อ
ตั้งบนก้อนเส้าแล้วนั่ง จากนั้นก็ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ
[236] ได้พิจารณาเห็นขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ก็ได้บรรลุอรหัตตผล
[237] เมื่อภิกษุณีกลับมาได้ถามถึงน้ำร้อน
หม่อมฉันอธิษฐานเตโชธาตุให้น้ำร้อนเร็วพลัน
[238] ภิกษุณีเหล่านั้นพากันอัศจรรย์ใจ
ไปกราบทูลพระชินเจ้าผู้ประเสริฐให้ทรงทราบเรื่องนั้น
พระผู้เป็นนาถะทรงสดับเรื่องนั้นแล้วทรงชื่นชม ได้ตรัสคาถานี้ว่า
[239] ‘แท้จริง บุคคลผู้ปรารภความเพียรอย่างหนัก
มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ประเสริฐกว่าคนเกียจคร้าน
และละทิ้งความเพียรมีชีวิตอยู่ตั้ง 100 ปี’
[240] พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันให้ทรงพอพระทัยแล้ว
เพราะการปฏิบัติดี พระมหามุนีพระองค์นั้น
ตรัสสรรเสริญหม่อมฉันว่าเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีทั้งหลาย
ผู้ปรารภความเพียร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :486 }