เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [48. นฬมาลิวรรค] 3. อุกกาสติกเถราปทาน
[31] ข้าพเจ้ามีหมู่นารีห้อมล้อมเข้าไปยังป่าหิมพานต์
ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ
ผู้(รุ่งเรือง)ดังดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
[32] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าถือคบเพลิง 100 ดวง
แวดล้อมพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ตลอด 7 วัน 7 คืน
วันที่ 8 ก็ได้จากไป
[33] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
กราบไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ
ผู้เป็นพระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้
เสด็จออกจากสมาบัติแล้วได้ถวายภิกษามื้อหนึ่ง
[34] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
เพราะกรรมนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดขึ้นในหมู่เทพชั้นดุสิต
นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษามื้อหนึ่ง
[35] แสงสว่างย่อมมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน
ข้าพเจ้าแผ่รัศมีไปได้ 100 โยชน์โดยรอบ
[36] ในกัปที่ 55 (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีชัยชนะ
เป็นใหญ่ในชมพูทวีป มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต
[37] ครั้งนั้น นครของข้าพเจ้าเป็นนครที่มั่งคั่งแผ่ไพศาล
และสร้างไว้อย่างสวยงาม ยาว 30 โยชน์
กว้าง 20 โยชน์
[38] กรุงชื่อโสภณะที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตให้
เป็นกรุงที่สงัดจากเสียง 10 ประการ1
แต่ประกอบด้วยเสียงกังสดาลอย่างไพเราะ

เชิงอรรถ :
1 เสียง 10 ประการ คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์ เสียงรถ เสียงตะโพน เสียงพิณ
เสียงเพลงขับ เสียงฉิ่ง เสียงเชื้อเชิญทานอาหาร (ขุ.พุทธ. 33/2/447, ขุ.อป.อ. 1/41, ขุ.ชา.อ. 1/4)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :122 }