เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [33. อุมาปุปผิยวรรค] 10. สปริวารฉัตตทายกเถราปทาน
[77] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ครั้นตรัสดังนี้แล้ว
ทรงส่งบริษัทไปแล้วเสด็จเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าเวหาส
[78] เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นนรชนผู้ประเสริฐเสด็จลุกขึ้น
แม้ฉัตรขาวก็ลอยขึ้นด้วย
ฉัตรที่งามเลิศลอยไปข้างหน้าของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[79] ในกัปที่ 94 นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยฉัตรดอกไม้
[80] ในกัปที่ 74 (นับจากกัปนี้ไป)
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 8 ชาติ มีพระนามเหมือนกันว่าชลสิขะ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ 7 ประการ มีพลานุภาพมาก
[81] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8
และอภิญญา 6 ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปุปผฉัตติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ปุปผฉัตติยเถราปทานที่ 9 จบ

10. สปริวารฉัตตทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสปริวารฉัตตทายกเถระ
(พระสปริวารฉัตตทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[82] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก
ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ทรงโปรยฝนคือธรรมให้ตกอยู่ เหมือนน้ำฝนในอากาศ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :495 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [33. อุมาปุปผิยวรรค] 10. สปริวารฉัตตทายกเถราปทาน
[83] ข้าพเจ้าได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้นทรงแสดงอมตบทอยู่
จึงทำจิตของตนให้เลื่อมใสแล้วได้กลับไปยังเรือนของตน
[84] ข้าพเจ้าถือฉัตรที่ประดับแล้ว
เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นนรชนผู้สูงสุด
ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงเบิกบาน ได้โยนฉัตรขึ้นไปในอากาศ
[85] สาวกผู้ล้ำเลิศ ฝึกตนดุจยานที่ควบคุมดีแล้ว
เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กั้นฉัตรไว้เหนือเศียรเกล้า
[86] พระพุทธเจ้าผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[87] ผู้ใดถวายฉัตรที่ประดับแล้วเป็นที่รื่นรมย์ใจนี้
ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น
ผู้นั้นจะไม่ไปเกิดยังทุคติเลย
[88] จักได้ครองเทวสมบัติในหมู่เทวดาตลอด 7 ชาติ
และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 32 ชาติ
[89] ต่อจากนี้ไปอีก 100,000 กัป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
จักทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[90] ผู้นั้นจักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา
พระองค์เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[91] ข้าพเจ้าทราบพระพุทธดำรัสที่ทรงเปล่งออกมา
เป็นอาสภิวาจาแล้วก็มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
จึงเกิดความร่าเริงอย่างยิ่ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :496 }