เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [13. เสเรยยวรรค] 5. สัมมุขาถวิกเถราปทาน
5. สัมมุขาถวิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสัมมุขาถวิกเถระ
(พระสัมมุขาถวิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[41] เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ประสูติ
ข้าพเจ้าพยากรณ์นิมิตและทำหมู่ชนให้เย็นใจว่า
พระโพธิสัตว์นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก
[42] อนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
หมื่นจักรวาลย่อมหวั่นไหว
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[43] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
ได้มีแสงสว่างเจิดจ้า
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[44] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[45] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
ไฟในอเวจีนรกไม่ลุกโพลง
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[46] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
หมู่นกไม่สัญจรไปมา
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :282 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [13. เสเรยยวรรค] 5. สัมมุขาถวิกเถราปทาน
[47] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
กองลมไม่พัด
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[48] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
รัตนะทุกชนิดส่องแสงโชติช่วง
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[49] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ
ทรงย่างพระบาทไปได้ 7 ก้าว
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่
[50] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอประสูติแล้วเท่านั้น
ก็ทรงเหลียวดูทิศทั้งปวง แล้วทรงเปล่งอาสภิวาจา1
นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
[51] ข้าพเจ้าทำหมู่ชนให้เกิดสังเวชแล้ว ชมเชย
พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วบ่ายหน้าหลีกไปทางทิศตะวันออก
[52] ในกัปที่ 91 นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าชมเชยพระพุทธเจ้าไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการชมเชย

เชิงอรรถ :
1 ดูเชิงอรรถข้อ 23 หน้า 264 ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :283 }