เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 1. ญาณกถา 4. ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส
ปัจจัย ฯลฯ ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ฯลฯ เวทนาเป็นปัจจัย
ตัณหาเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ฯลฯ ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ฯลฯ
อุปาทานเป็นปัจจัย ภพเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ฯลฯ ภพเป็นปัจจัย ชาติเกิดขึ้นเพราะ
ปัจจัย ฯลฯ ชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองอย่าง
นี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย” ชื่อว่าธัมมัฏฐิติญาณ
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า “ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติเป็น
ปัจจัย ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะ
ปัจจัย” ชื่อว่าธัมมัฏฐิติญาณ
[47] ในกัมมภพก่อน ความหลงเป็นอวิชชา กรรมเป็นเครื่องประมวล
มาเป็นสังขาร ความติดใจเป็นตัณหา ความยึดมั่นเป็นอุปาทาน เจตนาเป็นภพ
ธรรม 5 ประการนี้ในกัมมภพก่อน ย่อมเป็นไปเพราะปัจจัยแห่งปฏิสนธิในภพ
ปัจจุบันนี้
ในภพปัจจุบันนี้ ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ปสาทะ1เป็น
อายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม 5 ประการนี้
ในภพปัจจุบัน ย่อมเป็นไปเพราะปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพก่อน
เพราะอายตนะทั้งหลายในภพนี้สุกรอบ ความหลงเป็นอวิชชา กรรมเป็น
เครื่องประมวลมาเป็นสังขาร ความติดใจเป็นตัณหา ความยึดมั่นเป็นอุปาทาน
เจตนาเป็นภพ ธรรม 5 ประการนี้ในกัมมภพนี้ ย่อมเป็นไปเพราะปัจจัยแห่ง
ปฏิสนธิในอนาคตกาล
ปฏิสนธิในอนาคตกาลเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ปสาทะ
เป็นอายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม 5 ประการ
นี้ในภพปัจจุบัน ในอนาคตกาล ย่อมเป็นไปเพราะปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้
ในภพนี้

เชิงอรรถ :
1 ปสาทะ ในที่นี้หมายถึงความผ่องใส (ขุ.ป.อ. 1/47/260)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 31 หน้า :73 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 1. ญาณกถา 5. สัมมสนญาณนิทเทส
พระโยคาวจรย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมรู้แจ้งสังเขป 41 กาล 32
ปฏิจจสมุปบาทอันมีสนธิ 33 ด้วยอาการ 204 นี้ ด้วยประการดังนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะมีสภาวะรู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะมีสภาวะรู้ชัด
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย ชื่อว่าธัมมัฏฐิติญาณ
ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทสที่ 4 จบ

5. สัมมสนญาณนิทเทส
แสดงสัมมสนญาณ
[48] ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
แล้วกำหนดไว้ ชื่อว่าสัมมสนญาณ เป็นอย่างไร
คือ พระโยคาวจรกำหนดรูปทุกอย่างทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็น
ภายในก็ตาม เป็นภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีต
ก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม มีในที่ใกล้ก็ตาม โดยความไม่เที่ยง การกำหนดนี้ ชื่อว่า

เชิงอรรถ :
1 สังเขป 4 หมายถึงธรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) อดีตเหตุ คือ อวิชชาและสังขาร เรียกว่า เหตุสังเขป (2) ปัจจุบัน-
ผล คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา เรียกว่า ผลสังเขป (3) ปัจจุบันเหตุ คือ ตัณหา
อุปาทานและภพ เรียกว่า เหตุสังเขป (4) อนาคตผล คือชาติ ชรา มรณะและโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
อุปายาส เรียกว่า ผลสังเขป (ขุ.ป.อ. 1/47/261)
2 กาล 3 หมายถึงธรรมที่เป็นไปในกาล 3 กาล ได้แก่ (1) อดีตกาล คือ อวิชชาและสังขาร (2) ปัจจุบันกาล
คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน และภพ (3) อนาคตกาล คือ ชาติ ชรา
มรณะ และโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส (ขุ.ป.อ. 1/47/261)
3 สนธิ 3 หมายถึงขั้วต่อระหว่างสังเขป 4 มี 3 ขั้วต่อ ได้แก่ (1) ขั้วต่อระหว่างอดีตเหตุกับปัจจุบันผล เรียกว่า
เหตุผลสนธิ (2) ขั้วต่อระหว่างปัจจุบันผลกับปัจจุบันเหตุ เรียกว่าผลเหตุสนธิ (3) ขั้วต่อระหว่างปัจจุบัน-
เหตุกับอนาคตผล เรียกว่า เหตุผลสนธิ (ขุ.ป.อ. 1/47/261)
4 อาการ 20 หมายถึงองค์ประกอบแต่ละอย่างดุจกำของล้อที่ต้องกระจายให้เต็มตามช่องแห่งสังเขป 4
อาการ 20 ประการนี้ จำแนกตามส่วนที่เป็นเหตุและส่วนที่เป็นผลได้ดังนี้ คือ อดีตเหตุ 5 ได้แก่ อวิชชา
สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพ ปัจจุบันผล 5 ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา
ปัจจุบันเหตุ 5 ได้แก่ อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทานและภพ อนาคตผล 5 ได้แก่ วิญญาณ นามรูป
สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา (ขุ.ป.อ. 1/47/261)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 31 หน้า :74 }