พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 2. ทิฏฐิกถา 7. อันตัคคาหิกทิฏฐินิทเทส
6. อุจเฉททิฏฐินิทเทส
แสดงอุจเฉททิฏฐิ
[139] อุจเฉททิฏฐิที่มีสักกายะเป็นวัตถุ มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่าง
เป็นอย่างไร
คือ ปุถุชนในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็น
อัตตา พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็น
อัตตา พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็น
อัตตา
ปุถุชนพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา เป็นอย่างไร
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นปฐวีกสิณ ฯลฯ พิจารณาเห็นโอทาต-
กสิณ โดยความเป็นอัตตา คือ พิจารณาเห็นโอทาตกสิณและอัตตาไม่เป็นสองว่า
โอทาตกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด โอทาตกสิณก็อันนั้น เมื่อประทีปน้ำมัน
กำลังลุกโพลงอยู่ ฯลฯ ฉันใด นี้เป็นอุจเฉททิฏฐิที่มีสักกายะเป็นวัตถุ เป็นอาการที่ 1
อุจเฉททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่เป็นทิฏฐิ ปุถุชนพิจารณา
เห็นรูปโดยความเป็นอัตตาอย่างนี้ ฯลฯ
อุจเฉททิฏฐิที่มีสักกายะเป็นวัตถุ มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่างนี้
อุจเฉททิฏฐินิทเทสที่ 6 จบ
7. อันตัคคาหิกทิฏฐินิทเทส
แสดงอันตัคคาหิกทิฏฐิ
[140] อันตัคคาหิกทิฏฐิ มีความยึดมั่นด้วยอาการ 50 อย่าง เป็นอย่างไร
คือ อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกเที่ยง มีความยึดมั่นด้วยอาการเท่าไร
อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง ฯลฯ โลกมีที่สุด ฯลฯ โลกไม่มีที่สุด ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 2. ทิฏฐิกถา 7. อันตัคคาหิกทิฏฐินิทเทส
ชีวะ1กับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน ฯลฯ ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน ฯลฯ
หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีก ฯลฯ หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก ฯลฯ
หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี ฯลฯ อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า
หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกก็มิใช่ ไม่เกิดอีกก็มิใช่ มีความยึดมั่นด้วยอาการ
เท่าไร
คือ อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกเที่ยง มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่าง ฯลฯ
อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกก็มิใช่ ไม่เกิดอีกก็มิใช่
มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่าง
อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกเที่ยง มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่าง
เป็นอย่างไร
คือ ทิฏฐิคือความยึดมั่นถือมั่นว่า รูปเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ทิฏฐินั้นถือ
เอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอันตัคคาหิกทิฏฐิ ทิฏฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุก็ไม่ใช่
ทิฏฐิ ทิฏฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุก็เป็นอย่างหนึ่ง ทิฏฐิและวัตถุนี้เป็นอันตัคคาหิกทิฏฐิ
ว่า โลกเที่ยง เป็นอาการที่ 1 อันตัคคาหิกทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ เหล่านี้
เป็นสังโยชน์ แต่ไม่เป็นทิฏฐิ
ทิฏฐิคือความยึดมั่นถือมั่นว่า เวทนาเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ สัญญา
เป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ สังขารเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ
ทิฏฐิคือความยึดมั่นถือมั่นว่า วิญญาณ เป็นโลกและเป็นของเที่ยง ทิฏฐินั้น
ถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอันตัคคาหิกทิฏฐิ ทิฏฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุก็
ไม่ใช่ทิฏฐิ ทิฏฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุก็เป็นอย่างหนึ่ง ทิฏฐิและวัตถุนี้เป็นอันตัค-
คาหิกทิฏฐิว่า โลกเที่ยง เป็นอาการที่ 5 อันตัคคาหิกทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่เป็นทิฏฐิ อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกเที่ยง มีความยึดมั่น
ด้วยอาการ 5 อย่างนี้ (5)
อันตัคคาหิกทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง มีความยึดมั่นด้วยอาการ 5 อย่าง เป็น
อย่างไร
เชิงอรรถ :
1 ชีวะ ในที่นี้หมายถึงวิญญาณอมตะ หรือ อาตมัน (soul) (อภิ.ปญฺจ.อ. 1/1/129)