เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส [ปารายนวรรค] 5. มาณวปัญหานิทเทส 14. โปสาลมาณวปัญหานิทเทส
คำว่า บุคคลนั้นรู้กัมมาภิสังขาร1ว่าเป็นเหตุเกิดแห่งอากิญจัญญายตน-
สมาบัติ อธิบายว่า กัมมาภิสังขาร อันให้เป็นไปในอากิญจัญญายตนภพ ตรัสเรียก
ว่า เหตุเกิดแห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ
บุคคลนั้นรู้กัมมาภิสังขาร อันให้เป็นไปในอากิญจัญญายตนภพ ว่าเป็นเหตุ
เกิดแห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ คือ รู้ ทราบ เทียบเคียง พิจารณา ทำให้กระจ่าง
ทำให้แจ่มแจ้งว่า เป็นเหตุเกาะติด เป็นเหตุผูกพัน เป็นเหตุพัวพัน รวมความว่า
บุคคลนั้นรู้กัมมาภิสังขารว่าเป็นเหตุเกิดแห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ
คำว่า รู้อรูปราคะว่ามีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้ อธิบายว่า อรูป-
ราคะ ตรัสเรียกว่า ความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้
บุคคลนั้นรู้กรรมนั้นว่า เกาะติด เกี่ยวพัน พัวพันด้วยอรูปราคะ คือ รู้ ทราบ
เทียบเคียง พิจารณา ทำให้กระจ่าง ทำให้แจ่มแจ้งอรูปราคะว่ามีความเพลิดเพลิน
เป็นเครื่องผูกไว้ คือ รู้ว่าเป็นเหตุเกาะติด เป็นเหตุผูกพัน เป็นเหตุพัวพัน
คำว่า ว่า เป็นคำสนธิ ฯลฯ คำว่า ว่า นี้เป็นคำเชื่อมบทหน้ากับบทหลังเข้า
ด้วยกัน รวมความว่า รู้อรูปราคะว่ามีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้
คำว่า ครั้นรู้กรรมนั้นอย่างนี้แล้ว อธิบายว่า ครั้นรู้ คือ ครั้นทราบ เทียบ
เคียง พิจารณา ทำให้กระจ่าง ทำให้แจ่มแจ้งกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว รวมความว่า
ครั้นรู้กรรมนั้นอย่างนี้แล้ว
คำว่า ออกจากสมาบัตินั้น ในคำว่า ออกจากสมาบัตินั้น เห็นแจ้งธรรมที่
เกิดในสมาบัตินั้น อธิบายว่า บุคคลเข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ออกจาก
อากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น ก็เห็นแจ้ง คือ แลเห็น มองดู เพ่งพินิจ พิจารณา
เห็นธรรม คือ จิตและเจตสิก ที่เกิดในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค ฯลฯ เป็นของที่ต้องสลัดออกไป รวมความว่า
ออกจากสมาบัตินั้น เห็นแจ้งธรรมที่เกิดในสมาบัตินั้น

เชิงอรรถ :
1 กัมมาภิสังขาร ในที่นี้หมายถึงอาเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศล-
เจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4 หมายถึงภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ (ขุ.จู.อ. 84/69)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 30 หน้า :296 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส [ปารายนวรรค] 5. มาณวปัญหานิทเทส 14. โปสาลมาณวปัญหานิทเทส
คำว่า ญาณนี้ ... นั้น เป็นญาณอันแท้จริง อธิบายว่า ญาณนี้ของบุคคลนั้น
จริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดเพี้ยน รวมความว่า ญาณนี้ ... นั้น เป็นญาณ
อันแท้จริง
คำว่า ของพราหมณ์ ในคำว่า ของพราหมณ์ ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ อธิบายว่า
ที่ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยธรรม 7 ประการได้แล้ว ฯลฯ ผู้ไม่มีตัณหาและ
ทิฏฐิอาศัย เป็นผู้มั่นคง บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์1
คำว่า ของพราหมณ์ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ อธิบายว่า พระเสขะ 7 จำพวก
รวมทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมอยู่ อยู่ร่วม อยู่อาศัย อยู่ครอง เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง พระอรหันต์
อยู่จบแล้ว ทำกิจที่ควรทำแล้ว ปลงภาระ บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ
หมดสิ้นสังโยชน์ในภพแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ชอบ พระอรหันต์นั้นอยู่ใน
(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติจรณธรรมแล้ว ฯลฯ ท่านไม่มีการเวียนเกิด เวียนแก่
เวียนตาย และภพใหม่ก็ไม่มีอีก รวมความว่า ของพราหมณ์ผู้อยู่จบพรหมจรรย์
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า
บุคคลนั้นรู้กัมมาภิสังขารว่าเป็นเหตุเกิด
แห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ
รู้อรูปราคะว่ามีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้
ครั้นรู้กรรมนั้นอย่างนี้แล้ว ออกจากสมาบัตินั้น
เห็นแจ้งธรรมที่เกิดในสมาบัตินั้น
ญาณนี้ของพราหมณ์ผู้อยู่จบพรหมจรรย์นั้น
เป็นญาณอันแท้จริง
พร้อมกับการจบคาถา ฯลฯ โปสาลมาณพ... โดยประกาศว่า “ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก2”
โปสาลมาณวปัญหานิทเทสที่ 14 จบ

เชิงอรรถ :
1 ดูรายละเอียดข้อ 28/147
2 ดูรายละเอียดข้อ 8/72

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 30 หน้า :297 }