เมนู

พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส [อัฎฐกวรรค] 13. มหาวิยูหสุตตนิทเทส
[135] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
อริยสาวกละศีลวัตรได้ทั้งหมด
ละกรรมที่มีโทษและกรรมที่ไม่มีโทษนั้นเสียได้
ไม่ปรารถนาความหมดจดและความไม่หมดจด
งดเว้นแล้ว ไม่ยึดมั่นทิฏฐิที่มีอยู่เที่ยวไป
คำว่า ละศีลวัตรได้ทั้งหมด อธิบายว่า ละ คือ ละทิ้ง บรรเทา ทำให้หมด
สิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความหมดจดเพราะศีลได้ทั้งหมด... ความหมดจดเพราะ
วัตรได้ทั้งหมด... ละ คือ ละทิ้ง บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่ง
ความหมดจดเพราะศีลวัตรได้ทั้งหมด รวมความว่า ละศีลวัตรได้ทั้งหมด

ว่าด้วยกรรมมีโทษและกรรมไม่มีโทษ
คำว่า ละกรรมที่มีโทษและกรรมที่ไม่มีโทษนั้นเสียได้ อธิบายว่า กรรมดำ1
มีวิบากดำ ตรัสเรียกว่า กรรมที่มีโทษ กรรมขาว2 มีวิบากขาว ตรัสเรียกว่า กรรม
ที่ไม่มีโทษ พระอริยสาวก ละ คือ ละทิ้ง บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มี
อีกซึ่งกรรมที่มีโทษและกรรมที่ไม่มีโทษได้แล้ว รวมความว่า ละกรรมที่มีโทษและ
กรรมที่ไม่มีโทษนั้นเสียได้
คำว่า ความไม่หมดจด ในคำว่า ไม่ปรารถนาความหมดจดและความไม่
หมดจด ได้แก่ พวกปุถุชนปรารถนาความไม่หมดจด คือ ปรารถนาอกุศลธรรม
คำว่า ความหมดจด อธิบายว่า พวกปุถุชนปรารถนาความหมดจด คือ
ปรารถนากามคุณ 5 ปรารถนาความไม่หมดจด คือ ปรารถนาอกุศลธรรมและกาม-
คุณ 5 ปรารถนาความหมดจด คือ ปรารถนาทิฏฐิ 62 ปรารถนาความไม่หมดจด

เชิงอรรถ :
1 กรรมดำ มีวิบากดำ หมายถึงอกุศลกรรมบถ 10 ย่อมมีผลให้บุคคลผู้ทำเกิดในอบาย
2 กรรมขาว มีวิบากขาว หมายถึงกุศลกรรมบถ 10 ย่อมมีผลให้บุคคลผู้ทำเกิดในสวรรค์ (ที.ปา.อ. 3/312/
220)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 29 หน้า :372 }


พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส [อัฎฐกวรรค] 13. มหาวิยูหสุตตนิทเทส
คือ ปรารถนาอกุศลธรรม กามคุณ 5 และทิฏฐิ 62 ปรารถนาความหมดจด คือ
ปรารถนากุศลธรรมอันมีในไตรธาตุ ปรารถนาความไม่หมดจด คือ ปรารถนา
อกุศลธรรม กามคุณ 5 ทิฏฐิ 62 และกุศลธรรมอันมีในไตรธาตุ พวกกัลยาณ-
ปุถุชน ปรารถนาความสะอาด คือ ปรารถนาความก้าวย่างสู่อริยมรรค พระเสขะ
ปรารถนาอรหัตตผล ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศ เมื่อบรรลุอรหัตตผล พระอรหันต์ไม่
ปรารถนาอกุศลธรรม ไม่ปรารถนากามคุณ 5 ไม่ปรารถนาทิฏฐิ 62 ไม่ปรารถนา
กุศลธรรมอันมีในไตรธาตุ1 ไม่ปรารถนาความก้าวย่างสู่อริยมรรค ไม่ปรารถนา
อรหัตตผลซึ่งเป็นธรรมอันเลิศ พระอรหันต์ก้าวล่วงความปรารถนา ล่วงพ้นความ
เจริญและความเสื่อมเสียแล้ว พระอรหันต์นั้นอยู่ใน(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติ
จรณธรรมแล้ว... และภพใหม่ก็ไม่มีอีก รวมความว่า ไม่ปรารถนาความหมดจดและ
ความไม่หมดจด
คำว่า งดเว้นแล้ว ในคำว่า งดเว้นแล้ว ไม่ยึดมั่นทิฏฐิที่มีอยู่เที่ยวไป
อธิบายว่า งด งดเว้น คือ เว้นขาด ออก สลัดออก หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องกับ
ความหมดจดและความไม่หมดจด มีใจเป็นอิสระ(จากกิเลส) อยู่ รวมความว่า
งดเว้นแล้ว
คำว่า เที่ยวไป ได้แก่ เที่ยวไป คือ ท่องเที่ยวไป อยู่ เคลื่อนไหว เป็นไป
เลี้ยงชีวิต ดำเนินไป ยังชีวิตให้ดำเนินไป รวมความว่า งดเว้นแล้ว เที่ยวไป

เชิงอรรถ :
1 ไตรธาตุ คือ (1) กามธาตุ(กามภพ) (2) รูปธาตุ(รูปภพ) (3) อรูปธาตุ(อรูปภพ)
1. ธาตุอย่างหยาบ ชื่อกามธาตุ 2. ธาตุอย่างกลาง ชื่อรูปธาตุ 3. ธาตุอย่างประณีต ชื่ออรูปธาตุ
กรรมอำนวยผลให้ในกามธาตุ กามภพจึงปรากฏมีขึ้น กรรมจึงเป็นไร่นา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็น
ยางเหนียว วิญญาณดำรงมั่นอยู่ได้เพราะธาตุอย่างหยาบ ธาตุอย่างหยาบ(กามธาตุ)ของสัตว์มีอวิชชาเป็น
เครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ การเกิดในภพใหม่จึงมีต่อไป
กรรมอำนวยผลให้ในรูปธาตุ รูปภพจึงปรากฏมีขึ้น กรรมจึงเป็นไร่นา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยาง
เหนียว วิญญาณดำรงมั่นอยู่ได้เพราะธาตุอย่างกลาง ธาตุอย่างกลาง(รูปธาตุ)ของสัตว์มีอวิชชาเป็นเครื่อง
ปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ การเกิดในภพใหม่จึงมีต่อไป
กรรมอำนวยผลให้ในอรูปธาตุ อรูปภพจึงปรากฏมีขึ้น กรรมจึงเป็นไร่นา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็น
ยางเหนียว วิญญาณดำรงมั่นอยู่ได้เพราะธาตุอย่างประณีต ธาตุอย่างประณีต(อรูปธาตุ)ของสัตว์มีอวิชชา
เป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ การเกิดในภพใหม่จึงมีต่อไป (องฺ.ติก.(แปล) 20/77/217)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 29 หน้า :373 }