เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [18.ปัญญาสนิบาต] 2.อุมมาทันตีชาดก (527)
2. อุมมาทันตีชาดก (527)
ว่าด้วยเสนาบดีถวายนางอุมมาทันตีแด่พระราชา
(พระเจ้ากรุงสีพีตรัสว่า)
[57] สุนันทะ นี้เป็นนิเวศน์ของใครหนอ
ล้อมด้วยกำแพงสีเหลือง
ใครหนอปรากฏอยู่ในที่ไกลประดุจเปลวไฟในอากาศ
และประดุจเปลวไฟบนยอดภูเขา
[58] สุนันทะ หญิงนี้เป็นธิดาของใครหนอ
เป็นลูกสะใภ้หรือเป็นภรรยาของใคร
เป็นหญิงโสดหรือว่ามีภัสดาในนิเวศน์นี้
เราถามแล้ว ท่านจงบอกมาโดยเร็วเถิด
(สุนันทสารถีกราบทูลว่า)
[59] ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน หญิงคนนั้น
ข้าพระองค์รู้จักทั้งมารดาและบิดาของนาง
แม้สามีของนางข้าพระองค์ก็รู้จัก
ข้าแต่พระภูมิบาล บุรุษนั้นเป็นข้าราชบริพารของพระองค์เอง
เป็นผู้ไม่ประมาทในราชกิจอันเป็นประโยชน์ของพระองค์
ทั้งกลางวันและกลางคืน
[60] ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน ก็อำมาตย์คนหนึ่งของพระองค์
ผู้ประสบความสำเร็จ มั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรือง
นางเป็นภรรยาของอภิปารกอำมาตย์นั้นเอง
ชื่อว่าอุมมาทันตี พระเจ้าข้า
(พระเจ้ากรุงสีพีตรัสว่า)
[61] พ่อมหาจำเริญ พ่อมหาจำเริญ ชื่อของนางนี้
มารดาและบิดาตั้งให้เหมาะสมดีจริง เป็นความจริงอย่างนั้น
เมื่อนางอุมมาทันตีมองดูเรา ได้ทำให้เราคล้ายจะเป็นบ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 28 หน้า :11 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [18.ปัญญาสนิบาต] 2.อุมมาทันตีชาดก (527)
[62] ในคืนเดือนเพ็ญ นางมีนัยน์ตาชะม้ายคล้ายตานางเนื้อทราย
ร่างกายมีผิวพรรณดุจกลีบดอกบุณฑริก นั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง
ในคืนนั้น เราได้เห็นนางนุ่งผ้าสีแดงดุจสีเท้านกพิราบแล้ว
สำคัญว่าดวงจันทร์ขึ้น 2 ดวง
[63] คราวใดนางชมดชม้อยชำเลืองมองดูเราด้วยอาการ
อันอ่อนหวาน ด้วยใบหน้าอันเบิกบานงดงามบริสุทธิ์
ประดุจจะลักเอาดวงใจของเราไป ประหนึ่งนางกินนรี
เกิดที่ภูเขาในป่าลักเอาดวงใจของกินนรไป
[64] คราวนั้นนางผู้เลอโฉม มีผิวกายสีทอง
ใส่ตุ้มหูแก้วมณี มีผ้านุ่งท่อนเดียว ชำเลืองดูเรา
ประดุจนางเนื้อทรายตื่นตกใจกลัวเมื่อเห็นนายพราน
[65] เมื่อไรเล่า แม่นางผู้มีเล็บแดง มีขนงาม
แขนอ่อนนุ่ม ลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์
มีนิ้วกลมกลึง งามตั้งแต่ศีรษะ
จักบำเรอเราด้วยกิริยาอันชดช้อยชาญฉลาด
[66] เมื่อไรเล่า ธิดาของท่านติรีฏิ
ผู้มีทับทรวงสังวาลทองคำ เอวเล็กเอวบาง
จักกอดเราด้วยแขนทั้ง 2 อันอ่อนนุ่ม
ประดุจเถาย่านทรายรึงรัดต้นไม้ที่เกิดในป่าใหญ่
[67] เมื่อไรเล่า นางผู้มีผิวพรรณงามแดงดังน้ำครั่ง
มีเต้าถันกลมกลึงประดุจฟองน้ำ
ร่างกายมีผิวพรรณดังกลีบดอกบุณฑริก
จักโน้มปากเข้าจุมพิตปากเรา
เหมือนดังนักเลงสุรายื่นจอกสุราให้นักเลงสุราด้วยกัน
[68] เมื่อใด เราได้เห็นนางผู้มีสรรพางค์กาย
อันเจริญ น่ารื่นรมย์ใจ ยืนอยู่
เมื่อนั้น เราไม่รู้สึกตัวเลย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 28 หน้า :12 }