เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน [6. ชัจจันธวรรค] 4. ปฐมนานาติตถิยสูตร
ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ในกรุงสาวัตถีนี้เอง มีพระราชาพระองค์หนึ่ง
รับสั่งเรียกบุรุษคนหนึ่งมาตรัสว่า ‘พ่อหนุ่ม เจ้าจงไป จงบอกให้คนตาบอดทั้งหมด
ในกรุงสาวัตถีมาประชุมร่วมกัน’ บุรุษนั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พาคนตาบอด
ทั้งหมดในกรุงสาวัตถีเข้าไปเฝ้าพระราชาถึงที่ประทับ ได้กราบทูลพระราชาดังนี้ว่า
‘ขอเดชะ คนตาบอดทั้งหลายในกรุงสาวัตถีมาประชุมกันแล้ว พระเจ้าข้า’ พระราชา
ตรัสว่า ‘พ่อหนุ่ม ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงแสดงช้าง1แก่คนตาบอดทั้งหลายเถิด’ บุรุษนั้น
ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วจึงแสดงช้างแก่คนตาบอดทั้งหลาย คือ แสดงหัวช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงหูช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงงาช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงงวงช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงตัวช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงเท้าช้างแก่คน
ตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้‘แสดงระหว่างขาอ่อนช้าง
แก่คนตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงหางช้าง
แก่คนตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ แสดงขนหางช้าง
แก่คนตาบอดพวกหนึ่ง บอกว่า ‘ท่านทั้งหลาย ช้างเป็นอย่างนี้’ ภิกษุทั้งหลาย
บุรุษนั้นครั้นแสดงช้างแก่คนตาบอดทั้งหลายแล้ว ได้เข้าเฝ้าพระราชาพระองค์นั้น
ถึงที่ประทับแล้วกราบทูลดังนี้ว่า ‘ขอเดชะ คนตาบอดทั้งหลายเห็นช้างแล้ว2
พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงทรงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด’
ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระราชาพระองค์นั้นได้เสด็จไปหาคนตาบอดเหล่านั้น
ได้ตรัสกับคนตาบอดทั้งหลายดังนี้ว่า ‘ท่านทั้งหลาย พวกท่านเห็นช้างแล้วหรือ’

เชิงอรรถ :
1 แสดงช้าง หมายถึงนำช้างมาแล้วให้ช้างนอนลงโดยให้คนตาบอดคลำดูแต่ละส่วน (ขุ.อุ.อ. 54/367)
2 เห็นช้าง ในที่นี้หมายถึงคนตาบอดใช้มือจับต้อง ลูบคลำช้าง เหมือนเห็นด้วยตา (ขุ.อุ.อ. 54/367)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 25 หน้า :292 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน [6. ชัจจันธวรรค] 4. ปฐมนานาติตถิยสูตร
คนตาบอดเหล่านั้นกราบทูลว่า ‘ขอเดชะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นแล้ว พระเจ้าข้า’
พระราชาตรัสว่า ‘ท่านทั้งหลาย พวกท่านกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลาย
เห็นช้างแล้ว ช้างเป็นอย่างไร’
คนตาบอดพวกที่คลำหัวช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนหม้อ
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำหูช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนกระด้ง
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำงาช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนตอไม้
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำงวงช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนงอนไถ
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำตัวช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนยุ้งข้าว
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำเท้าช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนเสา
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำระหว่างขาอ่อนช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่าง
เหมือนครก พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำหางช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนสากตำข้าว
พระเจ้าข้า’
คนตาบอดพวกที่คลำขนหางช้างกราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ช้างมีรูปร่างเหมือนไม้กวาด
พระเจ้าข้า’
ภิกษุทั้งหลาย คนตาบอดเหล่านั้นต่างกำหมัดทุ่มเถียงกันว่า ‘อย่างนี้คือช้าง
อย่างนี้มิใช่ช้าง ช้างต้องไม่เป็นอย่างนี้ ช้างต้องเป็นอย่างนี้’ ภิกษุทั้งหลาย พระราชา
พระองค์นั้นจึงทรงพอพระทัย ด้วยเหตุนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 25 หน้า :293 }