เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต 1. นิสสยวรรค 10. โมรนิวาปสูตร
1. สีลขันธ์(กองศีล)ที่เป็นอเสขะ1
2. สมาธิขันธ์(กองสมาธิ)ที่เป็นอเสขะ
3. ปัญญาขันธ์(กองปัญญา)ที่เป็นอเสขะ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการนี้แล เป็นผู้มีความสำเร็จ
สูงสุด มีความเกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้
ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ภิกษุประกอบด้วยธรรม 3 ประการแม้อื่นอีก เป็นผู้มีความสำเร็จสูงสุด มี
ความเกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ธรรม 3 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. อิทธิปาฏิหาริย์2 (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์)
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์3 (ปาฏิหาริย์คือการทายใจ)
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์4 (ปาฏิหาริย์คืออนุสาสนี)
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม 3 ประการนี้ เป็นผู้มีความสำเร็จสูงสุด
มีความเกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ภิกษุประกอบด้วยธรรม 3 ประการแม้อื่นอีก เป็นผู้มีความสำเร็จสูงสุด มีความ
เกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย

เชิงอรรถ :
1 อเสขะ ในที่นี้หมายถึงธรรมระดับโลกุตตระของพระอเสขะ (องฺ.ทสก.อ. 3/12/320)
2 อิทธิปาฏิหาริย์ หมายถึงการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ คือ คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนแสดงเป็นคน
เดียวก็ได้ ปรากฏตัวได้ หายตัวได้ เดินทะลุฝา กำแพง ภูเขาได้ ดำดินได้ เดินบนน้ำได้ นั่งขัดสมาธิในอากาศได้
เป็นต้น ดูอังคุตตรนิกายแปลเล่มที่ 20 ข้อ 61 ติกนิบาต หน้า 234
3 อาเทสนาปาฏิหาริย์ หมายถึงการกล่าวดักใจบุคคลได้ว่า ใจของบุคคลแต่ละคนเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์
หรือมีวิตกเรื่องอะไร กำลังคิดอะไรอยู่เป็นต้น และคำกล่าวดักใจนั้นก็เป็นอย่างนั้น ไม่ผิดเพี้ยนกลับกลาย
เป็นอย่างอื่นไปได้ ดูอังคุตรนิกายแปล เล่มที่ 20 ข้อ 61 ติกนิบาต หน้า 234
4 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หมายถึงการพร่ำสอนว่า “จงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้
อย่าได้มนสิการอย่างนี้ จงละธรรมนี้ จงบรรลุธรรมนี้” ดูอังคุตรนิกายแปล เล่มที่ 20 ข้อ 61 ติกนิบาต
หน้า 235

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 24 หน้า :407 }


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต 1. นิสสยวรรค 10. โมรนิวาปสูตร
ธรรม 3 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. สัมมาทิฏฐิ 2. สัมมาญาณะ
3. สัมมาวิมุตติ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม 3 ประการนี้แล เป็นผู้มีความสำเร็จ
สูงสุด มีความเกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้
ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ภิกษุประกอบด้วยธรรม 2 ประการ เป็นผู้มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษม
สูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย
ธรรม 2 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. วิชชา (ความรู้แจ้ง)
2. จรณะ (ความประพฤติ)
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม 2 ประการนี้แล เป็นผู้มีความสำเร็จ
สูงสุด มีความเกษมสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้
ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย แม้สนังกุมารพรหมก็ได้กล่าวคาถานี้ไว้ว่า
ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่1
กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด
ส่วนท่านผู้เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

เชิงอรรถ :
1 หมายถึงหมู่ชนผู้ชอบคิดว่าตนมีตระกูลสูง ตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมากกว่าผู้อื่น เช่น คิดว่า “เราเป็น
โคตมโคตร เราเป็นกัสสปโคตร” เป็นต้น (องฺ.เอกาทสก.อ. 3/10/383) และดูพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
สีลขันธวรรค แปล เล่มที่ 9 ข้อ 277 หน้า 99

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 24 หน้า :408 }