เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต 4.เทวตาวรรค 10.ทุติยวสสูตร
6. เป็นผู้ฉลาดในอารมณ์แห่งสมาธิ1
7. เป็นผู้ฉลาดในอภินิหารแห่งสมาธิ2
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม 7 ประการนี้แล ย่อมทำจิตไว้ในอำนาจ
และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต
ปฐมวสสูตรที่ 9 จบ

10. ทุติยวสสูตร
ว่าด้วยธรรมที่เป็นเหตุให้จิตตกอยู่ในอำนาจ สูตรที่ 2
[41] ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยธรรม 7 ประการ ย่อมทำจิต
ไว้ในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต
ธรรม 7 ประการ อะไรบ้าง คือ
ในธรรมวินัยนี้ สารีบุตร
1. เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ
2. เป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ
3. เป็นผู้ฉลาดในการให้สมาธิตั้งอยู่ได้
4. เป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาธิ
5. เป็นผู้ฉลาดในความพร้อมแห่งสมาธิ
6. เป็นผู้ฉลาดในอารมณ์แห่งสมาธิ
7. เป็นผู้ฉลาดในอภินิหารแห่งสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยธรรม 7 ประการนี้แล ย่อมทำจิตไว้ใน
อำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต
ทุติยวสสูตรที่ 10 จบ

เชิงอรรถ :
1 ฉลาดในอารมณ์แห่งสมาธิหมายถึงฉลาดในการเว้นธรรมที่ไม่เป็นอุปการะแก่สมาธิแล้วเลือกเจริญแต่ธรรม
ที่เป็นสัปปายะ และเป็นอุปการะโดยรู้ว่า ‘นี้คืออารมณ์ที่เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) สำหรับให้จิตกำหนด นี้คือ
อารมณ์ที่เป็นไตรลักษณ์’ (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/24/109)
2 ฉลาดในอภินิหารแห่งสมาธิ หมายถึงฉลาดในการเจริญสมาธิในชั้นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ
จตุตถฌาน ตามลำดับจนเกิดความชำนาญแล้วเข้าสมาธิชั้นสูงขึ้นไป (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/24/110)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 23 หน้า :61 }


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต 4.เทวตาวรรค 11.ปฐมนิททสสูตร
11. ปฐมนิททสสูตร
ว่าด้วยนิททสวัตถุ สูตรที่ 1
[42] ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรครองอันตรวาสก ถือบาตรและ
จีวร1เข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า “การเที่ยวบิณฑบาต
ในกรุงสาวัตถียังเช้านัก ทางที่ดี เราควรจะเข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก”
ครั้นแล้วจึงเข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก ได้สนทนาปราศรัยพอเป็น
ที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
สมัยนั้นแล พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกนั่งประชุมกัน สนทนากันในระหว่าง
การประชุมว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านผู้ใดผู้หนึ่งประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์
ครบ 12 ปี ควรเรียกท่านผู้นั้นว่า ‘นิททสภิกษุ'2
ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น
ลุกจากอาสนะจากไปด้วยคิดว่า “เราจักรู้ชัดเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้
มีพระภาค” ท่านพระสารีบุตรครั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต
หลังจากฉันจากอาหารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเช้านี้ ข้าพระองค์ครองอันตรวาสก ถือบาตรและ
จีวรเข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ‘การเที่ยวบิณฑบาต
ในกรุงสาวัตถียังเช้านัก ทางที่ดี เราควรจะเข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก’
ครั้นแล้วจึงเข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก ได้สนทนาปราศรัยพอเป็น
ที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร สมัยนั้นแล พวกอัญเดียรถีย์

เชิงอรรถ :
1 คำว่า “ครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวร” นี้มิใช่ว่าก่อนหน้านี้พระสารีบุตรมิได้นุ่งสบง มิใช่พระสารีบุตร
ถือบาตรและจีวรไปโดยเปลือยกายส่วนบน แต่คำว่า “ครองอันตรวาสก” หมายถึงท่านผลัดเปลี่ยนสบง หรือ
ขยับสบงที่นุ่งอยู่ให้กระชับ คำว่า “ถือบาตรและจีวร” หมายถึงถือบาตรด้วยมือ ถือจีวรด้วยกาย คือห่มจีวร
แล้วอุ้มบาตรนั่นเอง (เทียบ วิ.อ. 1/16/180, ที.ม.อ. 2/153/143, ม.มู.อ. 1/63/163, ขุ.อุ.อ. 6/65)
2 ดูเชิงอรรถที่ 1 สัตตกนิบาต ข้อ 20 (นิททสวัตถุสูตร) หน้า 29 ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 23 หน้า :62 }