เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต [2. ทุติยปัณณาสก์] 9. สีติวรรค 4. สุสสูสติสูตร
4. สุสสูสติสูตร
ว่าด้วยการฟังด้วยดี
[88] ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่
ก็ไม่อาจก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลายได้
ธรรม 6 ประการ อะไรบ้าง คือ
เมื่อบุคคลอื่นแสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้
1. ไม่ตั้งใจฟังด้วยดี
2. ไม่เงี่ยโสตสดับ
3. ไม่ตั้งใจใฝ่รู้
4. ถือเอาแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
5. ทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์
6. ประกอบด้วยอนนุโลมิกขันติ
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการนี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่
ก็ไม่อาจก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลายได้
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ อาจเพื่อ
ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลายได้
ธรรม 6 ประการ อะไรบ้าง คือ
เมื่อบุคคลอื่นแสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้
1. ตั้งใจฟังด้วยดี
2. เงี่ยโสตสดับ
3. ตั้งใจใฝ่รู้
4. ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 22 หน้า :613 }


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต [2. ทุติยปัณณาสก์] 9. สีติวรรค 5. อัปปหายสูตร
5. ทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
6. ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ1
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการนี้แล ฟังสัทธรรมอยู่
อาจก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลายได้
สุสสูสติสูตรที่ 4 จบ
5. อัปปหายสูตร
ว่าด้วยธรรมที่บุคคลยังละไม่ได้
[89] ภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม 6 ประการไม่ได้ ก็ไม่อาจทำให้แจ้ง
ทิฏฐิสัมปทา2ได้
ธรรม 6 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นอัตตา)
2. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
3. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต)
4. ราคะเป็นเหตุไปสู่อบาย
5. โทสะเป็นเหตุไปสู่อบาย
6. โมหะเป็นเหตุไปสู่อบาย
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม 6 ประการนี้แลไม่ได้ ก็ไม่อาจทำให้แจ้ง
ทิฏฐิสัมปทาได้
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม 6 ประการได้แล้ว จึงอาจทำให้แจ้งทิฏฐิ-
สัมปทาได้

เชิงอรรถ :
1 อนุโลมิกขันติ ในที่นี้หมายถึงข้อพินิจที่เกื้อกูลแก่การบรรลุอริยสัจ 4 หรือเหมาะแก่คำสอน (องฺ.ฉกฺก.อ.
3/88-89/155) ขันติ ในที่นี้หมายถึงปัญญา หรือวิปัสสนาญาณ มิใช่หมายถึงความอดทน (เทียบ ขุ.ป.
31/36/444,อภิ.วิ.อ. 768/440)
2 ทิฏฐิสัมปทา ในที่นี้หมายถึงโสดาปัตติมรรค (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/88-89/155)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 22 หน้า :614 }