พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต [1. ปฐมปัณณาสก์] 1. อาหุเนยยวรรค 9. อนุสสติฎฐานสูตร
3. ลาภานุตตริยะ (การได้อันยอดเยี่ยม)
4. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันยอดเยี่ยม)
5. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำรุงอันยอดเยี่ยม)
6. อนุสสตานุตตริยะ1 (การระลึกอันยอดเยี่ยม)
ภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ 6 ประการนี้แล
อนุตตริยสูตรที่ 8 จบ
9. อนุสสติฏฐานสูตร
ว่าด้วยอนุสสติฏฐาน2
[9] ภิกษุทั้งหลาย อนุสสติฏฐาน 6 ประการนี้
อนุสสติฏฐาน 6 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระพุทธเจ้า)
2. ธัมมานุสสติ (การระลึกถึงพระธรรม)
เชิงอรรถ :
1 การเห็นรูป เช่น เห็นพระทศพล และพระภิกษุสงฆ์ด้วยศรัทธาด้วยความรักที่ตั้งมั่น หรือเห็นอารมณ์
กัมมัฏฐานมีกสิณและอสุภนิมิตเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเจริญใจ จัดเป็นทัสสนานุตตริยะ
ส่วนการเห็นสิ่งที่มีค่าอื่น ๆ มีช้างแก้ว ม้าแก้ว เป็นต้น หาใช่ทัสสนานุตตริยะไม่
การได้ฟังการพรรณาคุณพระรัตนตรัยด้วยศรัทธา ด้วยความรักที่ตั้งมั่น หรือการได้ฟังพระพุทธพจน์คือ
พระไตรปิฎกจัดเป็น สวนานุตตริยะ ส่วนการฟังการพรรณนาคุณของบุคคอื่นหาใช่สวนานุตตริยะไม่
การได้อริยทรัพย์ 7 อย่าง จัดเป็น ลาภานุตตริยะ ส่วนการได้แก้วมณีเป็นต้น หาใช่ลาภานุตตริยะไม่
การบำเพ็ญไตรสิกขา (สีล,สมาธิ,ปัญญา) จัดเป็น สิกขานุตตริยะ ส่วนการศึกษาศิลปะอย่างอื่น เช่น
ศิลปะการฝึกช้าง หาใช่สิกขานุตตริยะไม่
การบำรุงพระรัตนตรัย จัดเป็น ปาริจริยานุตตริยะ ส่วนการบำรุงบุคคลอื่น หาใช่ปาริจริยานุตตริยะไม่
การระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยจัดเป็น อนุสสตานุตตริยะ ส่วนการระลึกถึงคุณบุคคลอื่น หาใช่อนุสสตา-
นุตตริยะไม่ ดูรายละเอียดในฉักกนิบาตข้อ 30
อนุตตริยะ 6 ประการนี้ เป็นทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ (องฺ.ฉกฺก.อ.3/8-9/96,องฺ.ฉกฺก.ฏีกา 3/8/107)
2 อนุสสติฏฐาน แปลว่า ฐานคืออนุสสติ หมายถึงเหตุคืออนุสสติ กล่าวคือฌาน 3 (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/25/
110,29/112)
อนุสสติ ที่เรียกว่า ฐาน เพราะเป็นเหตุให้ได้รับประโยชน์เกื้อกูล และความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า
เช่น พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระพุทธคุณ)ย่อมเป็นเหตุให้บรรลุคุณวิเศษ เพราะเมื่อบุคคลระลึกถึงพุทธ
คุณอยู่ ปีติ(ความอิ่มใจ)ย่อมเกิด จากนั้นจึงพิจารณาปีติให้เห็นความสิ้นไปเสื่อมไปจนได้บรรลุ
อรหัตตผล
อนุสสติฏฐานนี้ จัดเป็นอุปจารกัมมัฏฐาน แม้คฤหัสถ์ก็สามารถบำเพ็ญได้ (ขุ.ป.อ. 1/25/137,
องฺ.ฉกฺก.ฏีกา 3/9/108)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต [1. ปฐมปัณณาสก์] 1. อาหุเนยยวรรค 10. มหานามสูตร
3. สังฆานุสสติ (การระลึกถึงพระสงฆ์)
4. สีลานุสสติ (การระลึกถึงศีล)
5. จาคานุสสติ (การระลึกถึงการบริจาค)
6. เทวตานุสสติ (ระลึกถึงเทวดา)
ภิกษุทั้งหลาย อนุสสติฏฐาน 6 ประการนี้แล
อนุสสติฏฐานสูตรที่ 9 จบ
10. มหานามสูตร
ว่าด้วยเจ้าศากยะมหานามะ
[10] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์
แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ1 เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว2 รู้ชัดศาสนาแล้ว3 ส่วน
มากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหน พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว รู้ชัดศาสนา
แล้ว ส่วนมากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ คือ
1. อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ระลึกถึงตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ
เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถี
ฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค มหานามะ
เชิงอรรถ :
1 หมายถึงเจ้าศากยะราชโอรสของพระเจ้าอาว์ของพระผู้มีพระภาค (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/10/96)
2 ผล ในที่นี้หมายถึงอริยผล (องฺ.ฉกฺก.อ. 3/10/96)
3 รู้ชัดศาสนาแล้ว หมายถึงรู้แจ้งไตรสิกขา คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา (องฺ.ฉกฺก.อ.
3/10/96)