พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต [4. จตุตถปัณณาสก์] 2. อาฆาตวรรค 6. นิโรธสูตร
แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระอุทายีได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า ท่านสารีบุตร
เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุจะล่วงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาผู้มีคำข้าวเป็นภักษา
แล้วเข้าถึงกายมโนมัยชั้นใดชั้นหนึ่ง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ออกจากสัญญา-
เวทยิตนิโรธบ้าง เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรได้มีความคิดว่า ท่านอุทายี คัดค้านเราถึง
3 ครั้งต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค และภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนาเรา ทางที่ดี
เราพึงนิ่งเสีย จึงได้นิ่งอยู่
จากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านอุทายีว่า อุทายี เธอหมายถึงกาย-
มโนมัยอย่างไหน
ท่านพระอุทายีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์หมายถึงเหล่า
เทพชั้นอรูปพรหมที่สำเร็จด้วยสัญญา
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อุทายี การพูดของเธอผู้เขลา ไม่ฉลาด จะมี
ประโยชน์อะไร เธอเข้าใจถึงสิ่งที่เธอพูดหรือ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า อานนท์
เป็นไปได้หรือที่เธอทั้งหลายเพิกเฉยต่อภิกษุเถระผู้กำลังถูกเบียดเบียนอยู่ เธอ
ทั้งหลายคงจะไม่มีความกรุณาในภิกษุเถระผู้ฉลาดซึ่งกำลังถูกเบียดเบียนอยู่1
พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เป็นไปได้
ที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง หากเธอไม่บรรลุ
อรหัตตผลในปัจจุบัน ก็เป็นไปได้ที่เธอจะล่วงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาผู้มี
คำข้าวเป็นภักษา แล้วเข้าถึงกายมโนมัยชั้นใดชั้นหนึ่ง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พระผู้มีพระภาคผู้สุคตครั้นตรัสดังนี้แล้วก็เสด็จ
ลุกขึ้นจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร2
เชิงอรรถ :
1 เหตุที่พระผู้มีพระภาคตรัสในเชิงตำหนิท่านพระอานนท์อย่างนี้ ก็เพราะท่านพระอานนท์เป็นสหายรักของ
ท่านพระสารีบุตรเถระและท่านเป็นธัมมภัณฑาคาริก (ขุนคลังพระธรรม) การห้ามปรามภิกษุผู้รุกรานภิกษุ
เถระอย่างนี้ เป็นหน้าที่ของภิกษุผู้เป็นธัมมภัณฑาคาริก (ตามนัย องฺ.ปญฺจก.อ. 3/166/64)
2 พระวิหาร ในที่นี้หมายถึงพระคันธกุฎี (องฺ.ปญฺจก.อ. 3/166/64)