เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์] 5.มหาวรรค 2.ฐานสูตร

จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นทั้งโดยย่อหรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้มี
ปัญญาทราม ไม่ใช่มีปัญญา’
บุคคลเมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้มีการแสวงหาปัญหาอย่างไร
ฯลฯ ท่านผู้นี้มีปัญญาทราม ไม่ใช่มีปัญญา’ เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีตาดียืนอยู่
ริมฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวเล็ก ๆ ผุดอยู่ เขาพึงทราบอย่างนี้ว่า ‘ปลาตัวนี้มี
กิริยาผุดเป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลานี้ตัวเล็ก
ไม่ใช่ตัวไหญ่’ ฉะนั้น
ส่วนบุคคลในโลกนี้เมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้มีการแสวงหา
ปัญหาอย่างไร เตรียมปัญหาอย่างไร และถามปัญหาอย่างไร ท่านผู้นี้มีปัญญา
ไม่ใช่มีปัญญาทราม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านผู้นี้ อ้างบทที่มีความหมาย
ลึกซึ้ง สงบ ประณีต สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด บัณฑิตพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้
กล่าวธรรมใด ก็สามารถที่จะบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่ายซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นทั้งโดยย่อหรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้มีปัญญา ไม่
ใช่มีปัญญาทราม”
บุคคลเมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้แสวงหาปัญหาอย่างไร ฯลฯ
ท่านผู้นี้มีปัญญา ไม่ใช่มีปัญญาทราม’ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ริมฝั่ง
ห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวใหญ่ผุดอยู่ เขาพึงทราบอย่างนี้ว่า ‘ปลาตัวนี้มีกิริยาผุด
เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลานี้ตัวใหญ่ ไม่ใช่
ตัวเล็กฉะนั้น
ข้อที่เรากล่าวว่า “ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญานั้นแลพึงรู้
ได้โดยใช้เวลานาน ไม่ใช่นิดหน่อย ผู้มนสิการจึงรู้ได้ ผู้ไม่มนสิการหารู้ได้ไม่
ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามหารู้ได้ไม่‘ เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุนี้
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ 4 ประการนี้แลอันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยฐานะ 4 ประการนี้”

ฐานสูตรที่ 2 จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 21 หน้า :282 }