เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 8.อุปกสูตร

คำที่ควรกล่าวและที่ควรกล่าวอันยิ่ง ฉะนั้น พวกข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะ
จึงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตรและทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ ไหว้
ลุกรับ ทำอัญชลีกรรมและสามีจิกรรมในสมณรามบุตร
ข้าแต่ท่านพระโคดม น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ท่านพระโคดมตรัสเรื่องนี้
ไว้ดียิ่งนักว่า ‘ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่าบุคคลนี้เป็นอสัตบุรุษ เป็นเรื่องที่
เป็นไปไม่ได้ แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่าบุคคลนี้เป็นสัตบุรุษ ก็เป็นเรื่อง
ที่เป็นไปไม่ได้ ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่าบุคคลนี้เป็นสัตบุรุษ เป็นเรื่องที่เป็น
ไปได้ แม้ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่าบุคคลนี้เป็นอสัตบุรุษ ก็เป็นเรื่องที่เป็น
ไปได้’ ข้าแต่ท่านพระโคดม บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอทูลลากลับ เพราะมีกิจ
มีหน้าที่ที่จะต้องทำอีกมาก”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอท่านจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด
พราหมณ์”
ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์ผู้เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธชื่นชม ยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วลุกจากที่นั่งจากไป

วัสสการสูตรที่ 7 จบ

8. อุปกสูตร
ว่าด้วยอุปกมัณฑิกาบุตร

[188] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุง
ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล อุปกมัณฑิกาบุตร1เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วจึงนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีวาทะ2อย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง
กล่าวติเตียนผู้อื่น เมื่อกล่าวติเตียนผู้อื่น ย่อมไม่ให้กุศลกรรมเกิดขึ้นโดยประการ
ทั้งปวง เมื่อไม่ให้กุศลกรรมเกิดขึ้นโดยประการทั้งปวง ย่อมถูกติเตียนกล่าวโทษ”


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 8.อุปกสูตร

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อุปกะ ถ้าบุคคลกล่าวติเตียนผู้อื่น เมื่อเขากล่าว
ติเตียนผู้อื่น ย่อมไม่ให้กุศลกรรมเกิดขึ้น เมื่อไม่ให้กุศลกรรมเกิดขึ้น ย่อมถูกติเตียน
กล่าวโทษ ท่านนั่นแล กล่าวติเตียนผู้อื่น เมื่อท่านกล่าวติเตียนผู้อื่น ย่อมไม่ให้
กุศลกรรมเกิดขึ้น เมื่อไม่ให้กุศลกรรมเกิดขึ้น ย่อมถูกติเตียนกล่าวโทษ”
อุปกมัณฑิกาบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลพึงจับปลาที่พอ
ผุดขึ้นเท่านั้นด้วยแหใหญ่ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พอกล่าวขึ้น
เท่านั้น พระผู้มีพระภาคก็ทรงจับด้วยบ่วงคือวาทะอันใหญ่”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อุปกะ เราบัญญัติไว้ว่า ‘นี้เป็นอกุศล’ บท พยัญชนะ
และธรรมเทศนาของตถาคตในข้อนั้นประมาณมิได้ว่า ‘นี้เป็นอกุศลแม้เพราะเหตุนี้’
อนึ่ง เราบัญญัติไว้ว่า ‘อกุศลนี้นั่นแลควรละเสีย’ บท พยัญชนะ และธรรมเทศนา
ของตถาคตในข้อนั้นประมาณมิได้ว่า ‘อกุศลนี้ควรละเสียแม้เพราะเหตุนี้’
อนึ่ง เราบัญญัติไว้ว่า ‘นี้เป็นกุศล’ บท พยัญชนะ และธรรมเทศนาของตถาคต
ในข้อนั้นประมาณมิได้ว่า ‘นี้เป็นกุศลแม้เพราะเหตุนี้’ อนึ่ง เราบัญญัติไว้ว่า ‘กุศลนี้
นั่นแลควรเจริญ’ บท พยัญชนะ และธรรมเทศนาของตถาคตในข้อนั้นประมาณมิได้ว่า
‘กุศลนี้ควรเจริญแม้เพราะเหตุนี้”
ลำดับนั้นแล อุปกมัณฑิกาบุตรชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุก
จากที่นั่งถวายอภิวาททำประทักษิณ1แล้ว เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า
อชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กราบทูลการสนทนากับพระผู้มีพระภาคทั้งหมดแด่พระเจ้า
แผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร
ครั้นเมื่ออุปกมัณฑิกาบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า
อชาตศัตรู เวเทหิบุตรกริ้ว ไม่ทรงพอพระทัย ได้ตรัสกับอุปกมัณฑิกาบุตรว่า “เจ้าเด็ก
ลูกชาวนาเกลือนี้อวดดี ปากกล้า บังอาจ จักสำคัญพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าควรรุกราน เจ้าอุปกะจงไปเสีย จงพินาศไป อย่ามาให้เรา
เห็นหน้าอีก”

อุปกสูตรที่ 8 จบ