เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 5.สมณสัจจสูตร

ชานุสโสณิพราหมณ์ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่าน
พระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ1 ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ไว้ว่าเป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต”

อภยสูตรที่ 4 จบ

5. สมณสัจจสูตร
ว่าด้วยสัจจะที่เป็นเหตุให้ไม่สำคัญตนว่าเป็นสมณะ

[185] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุง
ราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน คือ อันนภาระ วรธร
สกุลุทายี และปริพาชกที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ อาศัยอยู่ที่อารามของปริพาชก ริมฝั่ง
แม่น้ำสัปปินี
ครั้นในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น2 เข้าไปยังอาราม
ของปริพาชก ริมฝั่งแม่น้ำสัปปินี
ขณะนั้นแล ปริพาชกผู้เป็นอัญเดียรถีย์เหล่านั้นกำลังประชุมสนทนาเรื่องนี้ว่า
“สัจจะของพราหมณ์เป็นอย่างนี้ สัจจะของพราหมณ์เป็นอย่างนี้”
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาปริพาชกทั้งหลายถึงที่พำนัก ประทับ
นั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ ได้ตรัสถามปริพาชกเหล่านั้นว่า “ปริพาชกทั้งหลาย
บัดนี้พวกท่านนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เรื่องอะไรที่พวกท่านสนทนา
กันค้างไว้”
ปริพาชกทั้งหลายทูลว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม ณ สถานที่นี้ พวกข้าพเจ้า
มาชุมนุมกันตั้งประเด็นสนทนากันเรื่องนี้ว่า ‘สัจจะของพราหมณ์เป็นอย่างนี้ สัจจะ
ของพราหมณ์เป็นอย่างนี้”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ปริพาชกทั้งหลาย สัจจะของพราหมณ์ 4 ประการนี้
อันเราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วจึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 5.สมณสัจจสูตร

สัจจะของพราหมณ์ 4 ประการ อะไรบ้าง คือ
1. พราหมณ์1ในธรรมวินัยนี้ กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สัตว์ทั้งปวงไม่ควร
ถูกฆ่า’ พราหมณ์เมื่อกล่าวอย่างนี้ ชื่อว่าพูดจริง ไม่ใช่พูดเท็จ
เพราะการพูดนั้น เขาจึงไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นสมณะ’ ไม่สำคัญตน
ว่า ‘เป็นพราหมณ์’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา’
ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นผู้เสมอเขา’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นผู้ด้อย
กว่าเขา’ และเขารู้สัจจะในข้อปฏิบัตินั้น จึงปฏิบัติเพื่อความเอ็นดู
อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย
2. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘กาม2ทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มี
ความแปรผันไปเป็นธรรมดา’ พราหมณ์เมื่อพูดอย่างนี้ ชื่อว่าพูด
จริง ไม่ใช่พูดเท็จ เพราะการพูดนั้น เขาจึงไม่สำคัญตนว่า ‘เป็น
สมณะ’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นพราหมณ์’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็น
ผู้ประเสริฐกว่าเขา’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นผู้เสมอเขา’ ไม่สำคัญตน
ว่า ‘เป็นผู้ด้อยกว่าเขา’ และเขารู้สัจจะในข้อปฏิบัตินั้น จึงปฏิบัติ
เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกามทั้หลาย
3. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘ภพ3ทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มี
ความแปรผันไปเป็นธรรมดา’ พราหมณ์เมื่อพูดอย่างนี้ ชื่อว่าพูด
จริง ไม่ใช่พูดเท็จ เพราะการพูดนั้น เขาจึงไม่สำคัญตนว่า ‘เป็น
สมณะ’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นพราหมณ์’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็น
ผู้ประเสริฐกว่าเขา’ ไม่สำคัญตนว่า ‘เป็นผู้เสมอเขา’ ไม่สำคัญตน
ว่า ‘เป็นผู้ด้อยกว่าเขา’ และเขารู้สัจจะในข้อปฏิบัตินั้น จึงปฏิบัติ
เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับภพทั้งหลาย