เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 4.อภยสูตร

ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยังไม่ได้ทำความดีไว้ ยังไม่ได้สร้างกุศลไว้
ไม่ได้ทำที่ป้องกันสิ่งน่ากลัว ทำแต่ความชั่ว ทำแต่กรรมหยาบช้า และทำแต่กรรม
เศร้าหมอง โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูกโรคหนักบางอย่างกระทบเข้า
จึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เรายังไม่ได้ทำความดีไว้หนอ ยังไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำ
ที่ป้องกันสิ่งน่ากลัวไว้ ทำแต่ความชั่ว ทำแต่กรรมหยาบช้า ทำแต่กรรมเศร้าหมอง
เราตายแล้วจะไปสู่คติของผู้ไม่ได้ทำความดีไว้ ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำที่ป้องกันสิ่ง
น่ากลัว ทำแต่ความชั่ว ทำแต่กรรมหยาบช้า ทำแต่กรรมเศร้าหมองนั้น’ เขาย่อม
เศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้
มีความตายเป็นธรรมดากลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีความสงสัย1เคลือบแคลงใจ ไม่ถึง
ความตกลงใจในสัทธรรม โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูกโรคหนัก
บางอย่างกระทบเข้าจึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เรามีความสงสัยเคลือบแคลงใจ ไม่ถึง
ความตกลง ใจในสัทธรรมหนอ’ เขาย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ
ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดากลัว ถึงความสะดุ้งต่อ
ความตาย
พราหมณ์ บุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดา 4 จำพวกนี้แลกลัว ถึงความ
สะดุ้งต่อความตาย
บุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดาไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
เป็นอย่างไร
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด ปราศจากความพอใจ
ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจาก
ความอยากในกามทั้งหลาย โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูกโรคหนักบาง
อย่างกระทบเข้าก็ไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า ‘กามอันเป็นที่รักจักละเราไปหนอ และเรา


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์]
4.โยธาชีววรรค 4.อภยสูตร

ก็จักละกามอันเป็นที่รักไป’ เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก
คร่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดาไม่กลัว
ไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด ปราศจาก
ความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน
ปราศจากความอยากในกามทั้งหลาย โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูก
โรคหนักบางอย่างกระทบเข้าก็ไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า “กายอันเป็นที่รักจักละเราไป
หนอ และเราก็จักละกายอันเป็นที่รักไป” เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร
ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน” นี้แลคือบุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดา
ไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่ได้ทำความชั่วไว้ ไม่ได้ทำกรรมหยาบ
ช้าไว้ ไม่ได้ทำกรรมเศร้าหมองไว้ ทำแต่ความดี ทำแต่กุศล และทำที่ป้องกันสิ่ง
น่ากลัว โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูกโรคหนักบางอย่างกระทบเข้า
จึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เราไม่ได้ทำความชั่วหนอ ไม่ได้ทำกรรมหยาบช้า ไม่ได้
ทำกรรมเศร้าหมอง ทำแต่ความดี ทำแต่กุศล และทำที่ป้องกันสิ่งน่ากลัวไว้ เรา
ตายแล้วจะไปสู่คติของผู้ไม่ได้ทำความชั่วไว้ ไม่ได้ทำกรรมหยาบช้า ทำแต่ความดี
ทำแต่กุศล และทำที่ป้องกันสิ่งน่ากลัวไว้นั้น’ เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ
ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้มีความตาย
เป็นธรรมดาไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใจ ถึงความ
ตกลงใจในสัทธรรม โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเข้า เมื่อเขาถูกโรคหนักบางอย่าง
กระทบเข้าจึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘เราไม่มีความสงสัย ไม่เคลือบแคลงใจถึงความ
ตกลงใจในสัทธรรม’ เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ
ไม่ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดาไม่กลัว ไม่ถึงความ
สะดุ้งต่อความตาย
พราหมณ์ บุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดา 4 จำพวกนี้แลไม่กลัว ไม่ถึง
ความสะดุ้งต่อความตาย”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 21 หน้า :263 }