พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [1.ปฐมปัณณาสก์]
1.ภัณฑคามวรรค 8.เวสารัชชสูตร
3. เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ
ในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า อันตรายิก-
ธรรม1ที่ท่านกล่าวไว้ไม่อาจก่ออันตรายแก่ผู้เสพได้จริง เราเมื่อไม่
เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษม ไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่
4. เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ
ในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า ท่านแสดงธรรม
เพื่อประโยชน์อย่างใด ประโยชน์อย่างนั้นไม่สำเร็จเพื่อความสิ้นทุกข์
โดยชอบแก่ผู้ทำตามได้จริง เราเมื่อไม่เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษม
ไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่
ภิกษุทั้งหลาย เวสารัชชญาณ 4 ประการนี้แลที่ตถาคตมีแล้วเป็นเหตุให้
ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
วาทะเหล่าใดที่สมณะหรือพราหมณ์
ตระเตรียมไว้แพร่หลาย
วาทะเหล่านั้นมาถึงตถาคตผู้แกล้วกล้า
ผู้ล่วงวาทะได้ย่อมไม่มีผล2
สัตว์ทั้งหลายย่อมนมัสการตถาคต
ผู้เพียบพร้อมด้วยโลกุตตรธรรมทั้งหมด
ผู้ประกาศธรรมจักรครอบคลุมทั้งหมด
ผู้อนุเคราะห์สัตว์ทุกจำพวก
ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์
ผู้ถึงฝั่งแห่งภพเช่นนั้น
เวสารัชชสูตรที่ 8 จบ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [1.ปฐมปัณณาสก์]
1.ภัณฑคามวรรค 9.ตัณหุปปาทสูตร
9. ตัณหุปปาทสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งตัณหา
[9] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มีเหตุเกิดแห่งตัณหา 4 ประการ
นี้ ที่ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นได้
มีเหตุเกิดแห่งตัณหา 4 ประการ1 อะไรบ้าง คือ
1. ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะจีวรเป็นเหตุ
2. ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ
3. ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะเสนาสนะเป็นเหตุ
4. ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะปัจจัยที่ดีและดีกว่า2
ภิกษุทั้งหลาย มีเหตุเกิดแห่งตัณหา 4 ประการนี้แลที่ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่
่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นได้
บุคคลมีตัณหาเป็นเพื่อน
เที่ยวไปตลอดกาลยาวนาน
ย่อมไม่ล่วงพ้นสังสารวัฏ
ที่มีสภาวะอย่างนี้และสภาวะอย่างอื่น3
ภิกษุรู้โทษนี้ รู้ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
พึงเป็นผู้ไม่มีตัณหา ไม่มีความถือมั่น
มีสติสัมปชัญญะอยู่
ตัณหุปปาทสูตรที่ 9 จบ