เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [12. สัจจสังยุต]
2. ธัมมจักกัปปวัตตนวรรค 6. ทุติยธารณสูตร

“ดีละ ดีละ ภิกษุ ดีแท้ ภิกษุ เธอทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เราแสดงไว้แล้ว
เราแสดงทุกขอริยสัจเป็นข้อที่ 1 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เราแสดงทุกข-
สมุทยอริยสัจเป็นข้อที่ 2 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เราแสดงทุกขนิโรธอริยสัจ
เป็นข้อที่ 3 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เราแสดงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นข้อที่ 4 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เธอจงทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เรา
แสดงไว้แล้ว อย่างนี้แล
ภิกษุ เพราะเหตุนั้น เธอพึงทำความเพียรเพื่อทรงจำว่า ‘นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”

ปฐมธารณสูตรที่ 5 จบ

6. ทุติยธารณสูตร
ว่าด้วยการทรงจำอริยสัจ สูตรที่ 2

[1086] “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เรา
แสดงไว้แล้วเถิด”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่พระผู้มี
พระภาคทรงแสดงไว้แล้ว”
“ภิกษุ เธอทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เราแสดงไว้แล้ว อย่างไร”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทรงจำทุกขอริยสัจที่พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงไว้แล้วเป็นข้อที่ 1 เป็นไปไม่ได้เลยที่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า ‘นี้ไม่ใช่ทุกขอริยสัจข้อที่ 1 ที่พระสมณโคดมทรงแสดงไว้แล้ว เราจัก
บอกคืนทุกขอริยสัจนั้นแล้วบัญญัติทุกขอริยสัจข้อที่ 1 เป็นอย่างอื่น’ ข้าพระองค์
ทรงจำทุกขสมุทยอริยสัจ ฯลฯ ข้าพระองค์ทรงจำทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วเป็นข้อที่ 4 เป็นไปไม่ได้เลยที่สมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวว่า ‘นี้ไม่ใช่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจข้อที่ 4 ที่
พระสมณโคดมทรงแสดงไว้แล้ว เราจักบอกคืนทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล้ว
บัญญัติทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจข้อที่ 4 เป็นอย่างอื่น’ ข้าพระองค์ทรงจำ
อริยสัจ 4 ประการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้ว อย่างนี้แล”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 19 หน้า :601 }


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [12. สัจจสังยุต]
2. ธัมมจักกัปปวัตตนวรรค 7. อวิชชาสูตร

“ดีละ ดีละ ภิกษุ ดีแท้ ภิกษุ เธอทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เราแสดงไว้แล้ว
เราแสดงทุกขอริยสัจเป็นข้อที่ 1 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่สมณะ
หรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวว่า ‘นี้ไม่ใช่ทุกขอริยสัจข้อที่ 1 ที่พระสมณโคดม
ทรงแสดงไว้แล้ว เราจักบอกคืนทุกขอริยสัจข้อที่ 1 นั้นแล้วบัญญัติทุกขอริยสัจ
ข้อที่ 1 เป็นอย่างอื่น’ เราแสดงทุกขสมุทยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ
เราแสดงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นข้อที่ 4 เธอก็จงทรงจำไว้อย่างนั้น เป็น
ไปไม่ได้เลยที่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวว่า ‘นี้ไม่ใช่ทุกขนิโรธคามินี-
ปฏิปทาอริยสัจข้อที่ 4 ที่พระสมณโคดมทรงแสดงไว้ เราจักบอกคืนทุกขนิโรธ-
คามินีปฏิปทาอริยสัจ 4 นั้นแล้วบัญญัติทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจข้อที่ 4
เป็นอย่างอื่น’ เธอจงทรงจำอริยสัจ 4 ประการที่เราแสดงไว้แล้ว อย่างนี้แล
ภิกษุ เพราะเหตุนั้น เธอพึงทำความเพียรเพื่อทรงจำว่า ‘นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”

ทุติยธารณสูตรที่ 6 จบ

7. อวิชชาสูตร
ว่าด้วยอวิชชา

[1087] ภิกษุนั้นนั่ง ณ ที่สมควรแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ‘อวิชชา อวิชชา’ อวิชชาเป็นอย่างไร
และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่า ‘ตกอยู่ในอวิชชา”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า ‘อวิชชา’
และด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลจึงชื่อว่า ‘ตกอยู่ในอวิชชา’
ภิกษุ เพราะเหตุนั้น เธอพึงทำความเพียรเพื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์
ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”

อวิชชาสูตรที่ 7 จบ