เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [10. อัพยากตสังยุต] 8. วัจฉโคตตสูตร

ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พิจารณาเห็นรูปเป็นอัตตา ไม่พิจารณา
เห็นอัตตาว่ามีรูป ไม่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในรูป ไม่
พิจารณาเห็นเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ ไม่พิจารณาเห็น
วิญญาณโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ ไม่พิจารณาเห็น
วิญญาณในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ ฉะนั้นตถาคต(เรา)เมื่อถูก
ถามอย่างนี้จึงไม่พยากรณ์ว่า ‘โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะ
ว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่บ้าง”
วัจฉโคตรปริพาชกถามปัญหาพระมหาโมคคัลลานะ
ลำดับนั้น วัจฉโคตรปริพาชกลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว เข้าไปหาท่านพระ
มหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึก
ถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะดังนี้ว่า “ท่าน
โมคคัลลานะ โลกเที่ยงหรือ”
ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “วัจฉะ ปัญหาว่า ‘โลกเที่ยง’ นี้พระ
ผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์” ฯลฯ
“ท่านโมคคัลลานะ หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิด
อีกก็มิใช่หรือ”
“วัจฉะ แม้ปัญหาว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่
เกิดอีกก็มิใช่’ นี้พระผู้มีพระภาคก็ไม่ทรงพยากรณ์”
“ท่านโมคคัลลานะ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชก
เมื่อถูกถามอย่างนี้จึงตอบว่า ‘โลกเที่ยง ฯลฯ หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่า
เกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่’ อนึ่ง อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่พระสมณโคดม
เมื่อถูกถามอย่างนี้จึงไม่ทรงพยากรณ์ว่า ‘โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ หลังจากตายแล้ว
ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่บ้าง”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 18 หน้า :489 }