เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [1. สฬายตนสังยุต]
4. จตุตถปัณณาสก์ 4. อาสีวิสวรรค 6. อวัสสุตปริยายสูตร

ท้องพระโรงขึ้นใหม่เสร็จได้ไม่นาน ยังไม่มีสมณะ พราหมณ์ หรือมนุษย์คนใดคน
หนึ่งเข้าไปอยู่อาศัย ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควร ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลาย คือ เจ้า
ศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์รับสั่งให้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่ เสร็จได้
ไม่นาน ยังไม่มีสมณะ พราหมณ์ หรือมนุษย์คนใดคนหนึ่งเข้าไปอยู่อาศัย ขอ
พระผู้มีพระภาคโปรดใช้สอยท้องพระโรงนั้นก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรง
ใช้สอยท้องพระโรงก่อนแล้ว เจ้าศากยราชทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์จักใช้สอย
ในภายหลัง การใช้สอยของพระองค์นั้นพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุข
แก่เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์สิ้นกาลนาน”
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ทรงทราบว่าพระผู้มีพระภาค
ทรงรับนิมนต์แล้ว จึงเสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
กระทำประทักษิณแล้วเสด็จเข้าไปยังท้องพระโรงใหม่ รับสั่งให้ปูลาดท้องพระโรง ซึ่ง
เจ้าพนักงานได้ปูลาดด้วยเครื่องลาดทั้งปวงแล้ว ให้ปูลาดอาสนะทั้งหลาย ให้ตั้ง
โอ่งน้ำไว้ ให้จุดประทีปน้ำมันขึ้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท้องพระโรงได้ปูลาดด้วยเครื่องลาดทั้งปวงแล้ว
อาสนะปูลาดแล้ว ตั้งโอ่งน้ำประจำไว้ และจุดประทีปน้ำมันไว้แล้ว ขอพระองค์ทรง
ทราบกาลอันสมควรในบัดนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวร เสด็จ
เข้าไปยังท้องพระโรงใหม่พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าไป
ประทับนั่งพิงเสากลาง ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ฝ่ายพระสงฆ์ล้าง
เท้าแล้วก็เข้าไปยังท้องพระโรงแล้วนั่งพิงฝาด้านทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศ
ตะวันออก ให้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้านหน้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 18 หน้า :246 }


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [1. สฬายตนสังยุต]
4. จตุตถปัณณาสก์ 4. อาสีวิสวรรค 6. อวัสสุตปริยายสูตร

แม้เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ทรงล้างพระบาทแล้วก็เสด็จเข้าไปยัง
ท้องพระโรง ประทับนั่งพิงฝาด้านทิศตะวันออก ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก
ให้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้านหน้าเช่นกัน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์
เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจ
ให้สดชื่นร่าเริง ด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีส่วนมาก แล้วทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า
“ท่านผู้โคตมโคตรทั้งหลาย ราตรี1ล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงรู้กาลอันสมควรใน
บัดนี้เถิด”
เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ทูลรับพระดำรัสแล้วเสด็จลุกขึ้นจากที่
ประทับ ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณแล้วเสด็จจากไป
ขณะนั้น เมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์เสด็จจากไปไม่นาน
พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานะมาตรัสว่า “โมคคัลลานะ ภิกษุสงฆ์
ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของเธอจงปรากฏแก่ภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อยหลัง
จักเหยียดหลัง” ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปูผ้าสังฆาฏิ 4 ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยา (การ
นอนดุจราชสีห์) โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีสติ
สัมปชัญญะ ทรงทำไว้ในพระทัยว่าจะเสด็จลุกขึ้น ณ ที่นั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
เรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวดังนี้ว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นรับคำของ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวดังนี้ว่า “ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ผมจักแสดงอวัสสุตบรรยาย2และอนวัสสุตบรรยาย3แก่ท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี ผมจักกล่าว” ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระ
มหาโมคคัลลานะแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า