เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [7. สารีปุตตสังยุต] 10. สุจิมุขีสูตร

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “ท่านผู้มีอายุ วันนี้ ผมล่วงเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนฌานโดยประการทั้งปวงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา)
อยู่ ผมนั้นไม่ได้คิดว่า ‘เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว”
อันที่จริง ท่านพระสารีบุตรถอนอหังการ มมังการ และมานานุสัยออกได้
นานแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงไม่คิดว่า “เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือเข้าสัญญา-
เวทยิตนิโรธแล้ว หรือออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว”

นิโรธสมาปัตติสูตรที่ 9 จบ

10. สุจิมุขีสูตร
ว่าด้วยสุจิมุขีปริพาชิกา

[341] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้
เหยื่อกระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้นในเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรครองอันตรวาสก
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ อาศัยเชิงฝาแห่งหนึ่งฉันบิณฑบาต
นั้น ครั้งนั้น ปริพาชิกาชื่อสุจิมุขี เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
“สมณะ ทำไมท่านจึงก้มหน้าฉันเล่า”
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “น้องหญิง เรามิได้ก้มหน้าฉัน”
“สมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านเงยหน้าฉันหรือ”
“น้องหญิง เรามิได้เงยหน้าฉัน”
“สมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศใหญ่ฉันหรือ”
“น้องหญิง เรามิได้มองดูทิศใหญ่ฉัน”
“สมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศน้อยฉันหรือ”
“น้องหญิง เรามิได้มองดูทิศน้อยฉัน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 17 หน้า :347 }


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [7. สารีปุตตสังยุต] 10. สุจิมุขีสูตร

“ดิฉันถามว่า ‘สมณะ ทำไมท่านจึงก้มหน้าฉันเล่า’ ท่านก็ตอบว่า ‘เรามิได้
ก้มหน้าฉัน’
ดิฉันถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านเงยหน้าฉันหรือ’ ท่านก็ตอบว่า ‘เรามิได้เงย
หน้าฉัน’
ดิฉันถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศใหญ่ฉันหรือ’ ท่านก็ตอบว่า ‘เรา
มิได้มองดูทิศใหญ่ฉัน’
ดิฉันถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศน้อยฉันหรือ’ ท่านก็ตอบว่า ‘เรา
มิได้มองดูทิศน้อยฉัน’
สมณะ ก็บัดนี้ ท่านฉันอย่างไรเล่า”
“น้องหญิง ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะ
ดิรัจฉานวิชา1 คือวิชาดูพื้นที่2 สมณพราหมณ์เหล่านี้ เรียกได้ว่า ก้มหน้าฉัน
สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชา
คือ วิชาดูดาวดูฤกษ์ สมณพราหมณ์เหล่านี้ เรียกได้ว่า เงยหน้าฉัน
สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะทำหน้าที่เป็น
ตัวแทนและผู้สื่อสาร สมณพราหมณ์เหล่านี้ เรียกได้ว่า มองดูทิศใหญ่ฉัน
สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชา
คือวิชาดูอวัยวะ สมณพราหมณ์เหล่านี้ เรียกได้ว่า มองดูทิศน้อยฉัน
น้องหญิง เรานั้นมิได้เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาคือวิชาดู
พื้นที่ มิได้เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาคือวิชาดูดาวดูฤกษ์ มิได้เลี้ยง
ชีวิตด้วยมิจฉาชีพเพราะทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร มิได้เลี้ยงชีวิตด้วย
มิจฉาชีพเพราะเดรัจฉานวิชาคือวิชาดูอวัยวะ (แต่)เราแสวงหาภิกษาโดยชอบธรรม
แล้วจึงฉัน”