พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [1.ขันธสังยุต]
มัชฌิมปัณณาสก์ 4. เถรวรรค 4. อนุราธสูตร
รู้ชัดรูปที่เป็นผู้ฆ่าตามความเป็นจริงว่า รูปเป็นผู้ฆ่า รู้ชัดเวทนาที่เป็นผู้ฆ่า ...
สัญญาที่เป็นผู้ฆ่า ... รู้ชัดสังขารที่เป็นผู้ฆ่าตามความเป็นจริงว่า สังขารเป็นผู้ฆ่า
รู้ชัดวิญญาณที่เป็นผู้ฆ่าตามความเป็นจริงว่า วิญญาณเป็นผู้ฆ่า
เขาไม่เข้าไปยึดมั่นรูปว่า รูปเป็นอัตตาของเรา ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร
... ไม่เข้าไปยึดมั่นวิญญาณว่า วิญญาณเป็นอัตตาของเรา อุปาทานขันธ์ 5
ประการนี้ที่พระอริยสาวกนั้นไม่เข้าไปยึดมั่น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุขตลอดกาลนาน
ข้าแต่ท่านสารีบุตร ข้อที่เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้เช่นกับท่านเป็นผู้อนุเคราะห์
มุ่งประโยชน์ ว่ากล่าว พร่ำสอน ย่อมเป็นอย่างนั้น และเพราะได้ฟังธรรมเทศนา
นี้ของท่านสารีบุตร จิตของผมจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
ยมกสูตรที่ 3 จบ
4. อนุราธสูตร1
ว่าด้วยพระอนุราธะ
[86] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
เขตกรุงเวสาลี สมัยนั้น ท่านพระอนุราธะอยู่ที่กุฎีป่า ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค
ครั้งนั้น อัญเดียรถีย์ปริพาชกจำนวนมากเข้าไปหาท่านพระอนุราธะถึงที่อยู่
ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร
ได้ถามท่านพระอนุราธะดังนี้ว่า ท่านอนุราธะ พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็น
บรมบุรุษ ทรงบรรลุธรรมที่ควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น
ย่อมทรงบัญญัติในฐานะ 4 ประการนี้ คือ
1. หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีก
2. หลังจากตายแล้ว ตถาคตไม่เกิดอีก
3. หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก
4. หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่
หรือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [1.ขันธสังยุต]
มัชฌิมปัณณาสก์ 4. เถรวรรค 4. อนุราธสูตร
เมื่ออัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระอนุราธะได้ตอบว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุธรรมที่ควร
บรรลุอย่างยอดเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติเว้นจากฐานะ 4
ประการนี้ คือ
1. หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีก
2. หลังจากตายแล้ว ตถาคตไม่เกิดอีก
3. หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก
4. หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่
เมื่อท่านพระอนุราธะตอบอย่างนี้แล้ว อัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นได้กล่าว
กับท่านพระอนุราธะดังนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้คงจักเป็นพระใหม่บวชได้ไม่
นาน หรือเป็นพระเถระแต่โง่ ไม่ฉลาด ทีนั้น พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกกล่าว
รุกรานท่านพระอนุราธะด้วยวาทะว่าเป็นพระใหม่และวาทะว่าเป็นพระโง่ พากันลุก
จากอาสนะแล้วจากไป
ครั้นเมื่อพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกจากไปไม่นาน ท่านพระอนุราธะได้มีความ
คิดว่า ถ้าอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นพึงถามปัญหากับเรายิ่งขึ้นไป เราจะ
พยากรณ์แก่อัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างไร จึงจะชื่อว่าพูดตรงตามที่พระผู้มี
พระภาคตรัสไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำเท็จ ชื่อว่ากล่าวแก้อย่าง
สมเหตุสมผล ไม่มีคำกล่าวเช่นนั้นและการคล้อยตามที่จะเป็นเหตุให้ถูกตำหนิได้
พระอนุราธะทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาค
ต่อมา ท่านพระอนุราธะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง
ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
ประทานวโรกาส ข้าพระองค์อยู่ที่กุฎีป่า ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น
อัญเดียรถีย์ปริพาชกจำนวนมากเข้าไปหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถาม
ข้าพระองค์ดังนี้ว่า ท่านอนุราธะ พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นบรมบุรุษ ทรง
บรรลุธรรมที่ควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติ
ในฐานะ 4 ประการนี้ คือ