พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [1. เทวดาสังยุต] 8. ฆัตวาวรรค 6. นชีรติสูตร
5. ภีตสูตร
ว่าด้วยผู้กลัว
[75] เทวดาทูลถามว่า
หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้ยังจะกลัวอะไรอีกเล่า
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสบอกทางไว้แล้วด้วยเหตุหลากหลาย1
ข้าแต่พระโคดมผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ถึงเหตุนั้น
บุคคลตั้งอยู่ในธรรมอะไร จึงไม่กลัวปรโลก
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ
มิได้ทำบาปทางกาย อยู่ครองเรือนที่มีข้าวและน้ำมาก
เป็นผู้มีศรัทธา 1 เป็นผู้อ่อนโยน 1
มีปกติเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 1 รู้เจรจาปราศรัย 1
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม 4 ประการนี้ ชื่อว่าผู้ตั้งอยู่ในธรรม
ผู้นั้นจึงจะไม่กลัวปรโลก
ภีตสูตรที่ 5 จบ
6. นชีรติสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่ไม่ทรุดโทรม
[76] เทวดาทูลถามว่า
อะไรเล่าย่อมทรุดโทรม
อะไรเล่าย่อมไม่ทรุดโทรม
อะไรเล่าท่านเรียกว่าทางผิด
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [1. เทวดาสังยุต]
8. ฆัตวาวรรค 7. อิสสรสูตร
อะไรเล่าเป็นอันตรายต่อธรรม
อะไรเล่าสิ้นไปตามคืนและวัน
อะไรเล่าเป็นมลทินของพรหมจรรย์
อะไรเล่ามิใช่น้ำ แต่เป็นเครื่องชำระล้าง
ในโลกมีช่องกี่ช่อง ที่จิตตั้งอยู่ไม่ได้
ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค
ว่าจะรู้ข้อความนั้นได้อย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
รูปของสัตว์ทั้งหลายย่อมทรุดโทรม
ชื่อและโคตรย่อมไม่ทรุดโทรม
ราคะท่านเรียกว่าทางผิด
ความโลภเป็นอันตรายต่อธรรม
วัยสิ้นไปตามคืนและวัน
หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ หมู่สัตว์นี้ข้องอยู่ในหญิงนั่น
ตบะและพรหมจรรย์นั้นมิใช่น้ำ แต่เป็นเครื่องชำระล้าง
ในโลกมีช่องอยู่ 6 ช่อง ที่จิตตั้งอยู่ไม่ได้ คือ
ความเกียจคร้าน 1 ความประมาท 1 ความไม่ขยัน 1
ความไม่สำรวม 1 ความมักหลับ 1 ความอ้างเลสไม่ทำงาน 1
พึงเว้นช่องทั้ง 6 เสีย โดยประการทั้งปวงเถิด
นชีรติสูตรที่ 6 จบ
7. อิสสรสูตร
ว่าด้วยความเป็นใหญ่
[77] เทวดาทูลถามว่า
อะไรเล่าเป็นใหญ่ในโลก
อะไรเล่าเป็นสิ่งสูงสุดบรรดาภัณฑะทั้งหลาย
อะไรเล่าเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
อะไรเล่าเป็นเสนียดจัญไรในโลก