เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [1. คหปติวรรค] 10. อปัณณกสูตร

หลังจากตายแล้ว จักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก1ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง คำของ
สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ย่อม
กูกวิญญูชน ติเตียนได้ในปัจจุบันว่า ‘เป็นบุรุษบุคคลผู้ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น
นัตถิกวาทะ’
ถ้าโลกหน้ามีจริง บุรุษบุคคลนี้จะได้รับโทษในโลกทั้ง 2 คือ (1) ในปัจจุบัน
ถูกวิญญูชนติเตียนได้ (2) หลังจากตายแล้วจักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
อย่างนี้
อปัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบูรณ์ไม่ดี แพร่ดิ่งไปฝ่ายเดียว2
ย่อมละเหตุที่เป็นกุศล ด้วยประการอย่างนี้

คุณแห่งการปฏิบัติชอบ

[96] พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ 2 จำพวกนั้น
สมณพราหมณ์เหล่าใดผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘ทานที่ให้แล้วมีผล ฯลฯ
สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบ ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่ง
เองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้ง มีอยู่ในโลก’ สมณพราหมณ์เหล่านั้นพึงหวังข้อนี้ได้ คือ
จักเว้นอกุศลธรรม 3 ประการนี้ ได้แก่ (1) กายทุจริต (2) วจีทุจริต (3) มโนทุจริต
จักสมาทานกุศลธรรม 3 ประการนี้ ได้แก่ (1) กายสุจริต (2) วจีสุจริต (3) มโนสุจริต
แล้วประพฤติอยู่
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่ง
อกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นฝ่ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม
อนึ่ง โลกหน้ามี เขาเห็นว่า ‘โลกหน้ามีจริง’ ความเห็นนั้นของเขา จึงเป็น
สัมมาทิฏฐิ โลกหน้ามีจริง เขาดำริว่า ‘โลกหน้ามีจริง’ ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น
สัมมาสังกัปปะ โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่า ‘โลกหน้ามีจริง’ วาจานั้นของเขาจึงเป็น