พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [1. คหปติวรรค] 6. อุปาลิวาทสูตร
แม้ครั้งที่ 2 ภรรยาสาวก็พูดกับพราหมณ์นั้นว่า พี่พราหมณ์ พี่จงไปซื้อ
ลูกลิงจากตลาดมาสักตัวไว้เป็นเพื่อนเล่นของลูกฉัน แม้ครั้งที่ 2 พราหมณ์ก็พูดว่า
น้องหญิง คอยจนคลอดเสียก่อนเถิด ถ้าเธอคลอดลูกเป็นชาย ฉันก็จักซื้อลูกลิงตัวผู้
จากตลาดมาให้เป็นเพื่อนเล่นของลูกชายเธอ แต่ถ้าเธอคลอดลูกเป็นหญิง ฉันก็จัก
ซื้อลูกลิงตัวเมียจากตลาดมาให้เป็นเพื่อนเล่นของลูกสาวเธอ
แม้ครั้งที่ 3 ภรรยาสาวนั้นก็พูดกับพราหมณ์นั้นว่า พี่พราหมณ์ พี่จงไปซื้อ
ลูกลิงจากตลาดมาสักตัวไว้เป็นเพื่อนเล่นของลูกฉัน ก็แล พราหมณ์แก่นั้นหลงใหล
รักใคร่ภรรยาสาวจึงซื้อลูกลิงจากตลาดมาแล้วบอกเธอว่า ฉันซื้อลูกลิงจากตลาดมา
ไว้เป็นเพื่อนเล่นของลูกเธอแล้วนะ น้องหญิง เมื่อพราหมณ์บอกอย่างนี้แล้ว ภรรยา
สาวนั้นจึงพูดว่า พี่พราหมณ์ พี่จงอุ้มลูกลิงตัวนี้ไปหาลูกช่างย้อมผู้ชำนาญการย้อม
แล้วบอกเขาว่า เพื่อนผู้ชำนาญการย้อม ฉันอยากให้ท่านย้อมลูกลิงตัวนี้ให้สีจับ
อย่างสนิทดี ขัดแล้วขัดอีก ให้เรียบร้อยทั้งสองด้าน
พราหมณ์ผู้หลงใหลรักใคร่ภรรยาสาวนั้นอุ้มลูกลิงไปหาลูกนายช่างย้อมผู้ชำนาญ
การย้อมแล้วบอกว่า เพื่อนผู้ชำนาญการย้อม ฉันอยากให้ท่านย้อมลูกลิงตัวนี้ให้
สีจับอย่างสนิทดี ขัดแล้วขัดอีก ให้เรียบร้อยทั้งสองด้าน เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้
แล้ว บุตรนายช่างย้อมผู้ชำนาญการย้อมได้บอกว่า ท่านผู้เจริญ ลูกลิงของท่านนี้
ควรย้อมสีเท่านั้น ไม่ควรขัดแล้วขัดอีก แม้ฉันใด วาทะของนิครนถ์ผู้เขลาก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ควรเป็นที่ยินดีของคนเขลาด้วยกันเท่านั้น ไม่ควรเป็นที่ยินดี ไม่ควร
ซักถาม และไม่ควรพิจารณาของบัณฑิตทั้งหลาย
ท่านผู้เจริญ ต่อมา พราหมณ์นั้นถือผ้าใหม่คู่หนึ่งไปหาบุตรนายช่างย้อมผู้ชำนาญ
การย้อมแล้วบอกกับเขาว่า เพื่อนผู้ชำนาญการย้อม ฉันอยากให้ท่านย้อมผ้าใหม่
คู่นี้ให้สีจับอย่างสนิทดี ขัดแล้วขัดอีก ให้เรียบร้อยทั้งสองด้าน เมื่อพราหมณ์บอก
อย่างนี้แล้ว บุตรนายช่างย้อมผู้ชำนาญการย้อมก็ได้บอกว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าใหม่
ของท่านคู่นี้ ควรย้อม ควรขัดแล้วขัดอีก แม้ฉันใด วาทะของพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ควรเป็นที่ยินดีของบัณฑิต
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [1. คหปติวรรค] 6. อุปาลิวาทสูตร
ทั้งหลายเท่านั้น ไม่ควรเป็นที่ยินดี ไม่ควรซักถาม และไม่ควรพิจารณา1ของคนเขลา
ทั้งหลาย
นิครนถ์ นาฏบุตรถามว่า คหบดี บริษัทพร้อมทั้งพระราชาต่างก็รู้จักท่าน
อย่างนี้ว่า อุบาลีคหบดีเป็นสาวกของนิครนถ์ นาฏบุตร เราจะจำท่านว่า เป็นสาวก
ของใครเล่า
เมื่อนิครนถ์ นาฏบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว อุบาลีคหบดีลุกจากอาสนะพาดสไบ
เฉวียงบ่า ประนมมือไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ พูดกับนิครนถ์ นาฏบุตรว่า
ท่านขอรับ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟังการกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระผู้มีพระภาค
ของข้าพเจ้าผู้เป็นสาวก แล้วกล่าวคาถาประพันธ์ดังต่อไปนี้ว่า
อุบาลีคหบดีประกาศตนเป็นพุทธสาวก
[76] ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นปราชญ์
ปราศจากโมหะ ทรงทำลายกิเลสเครื่องตรึงจิตได้
ทรงชำนะมาร ไม่มีทุกข์ มีจิตเสมอด้วยดี มีมารยาทเจริญ
มีพระปัญญาดี ทรงข้ามกิเลสอันปราศจากความเสมอ
(และ)ปราศจากมลทินได้
ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคผู้ไม่มีความสงสัย
มีพระทัยดี ทรงคายโลกามิสได้ ทรงบันเทิง
ทรงเจริญสมณธรรมสำเร็จแล้ว ทรงเกิดเป็นมนุษย์
มีพระสรีระเป็นชาติสุดท้าย ทรงเป็นนระไม่มีผู้เปรียบได้
ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี