พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [5. พราหมณวรรค] 3. อัสสลายนสูตร
ลำดับนั้น พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ก็พากันสาปแช่งอสิตเทวลฤาษีว่า เป็นเถ้า
เถิดคนถ่อย เป็นเถ้าเถิดคนถ่อย พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันสาปแช่งอสิตเทวล-
ฤาษี ด้วยประการใด ๆ อสิตเทวลฤาษีกลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่าดูกว่า
และเป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้น ๆ
ครั้งนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ได้คิดว่า ตบะของเราทั้งหลายเปล่าประโยชน์
พรหมจรรย์ของเราไม่มีผล ด้วยว่าเมื่อก่อนเราทั้งหลายสาปแช่งผู้ใดว่า เป็นเถ้าเถิด
คนถ่อย เป็นเถ้าเถิดคนถ่อย ผู้นั้นบางคนก็เป็นเถ้าเป็นจุณ แต่ผู้นี้เราทั้งหลายยิ่ง
สาปแช่ง ด้วยประการใด ๆ เขากลับเป็นผู้มีรูปงามยิ่งขึ้น เป็นผู้น่าดูยิ่งขึ้น และเป็น
ผู้น่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น ด้วยประการนั้น ๆ
อสิตเทวลฤาษีกล่าวว่า ตบะของท่านผู้เจริญทั้งหลาย เปล่าประโยชน์ก็หามิได้
พรหมจรรย์ของท่านผู้เจริญทั้งหลายไม่มีผลก็หามิได้ เชิญท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงละ
ความคิดประทุษร้ายในเราเสียเถิด
พราหมณ์ฤาษี กล่าวว่า พวกเรายอมสละความคิดประทุษร้าย ท่านเป็น
ใครหนอ
อสิตเทวลฤาษี กล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้ยินชื่ออสิตเทวลฤาษีมา
บ้างไหม
พราหมณ์ฤาษี กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายเคยได้ยินอยู่
อสิตเทวลฤาษี กล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เรานี้แลคืออสิตเทวลฤาษี
ตนนั้น
อัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันเข้าไปหาอสิตเทวลฤาษี
เพื่อจะไหว้
[411] อัสสลายนะ ครั้งนั้น อสิตเทวลฤาษีได้กล่าวกับพราหมณ์ฤาษี
ทั้ง 7 ตนว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้สดับข่าวนี้มาว่า ได้ทราบว่า
พราหมณ์ฤาษี 7 ตนมาประชุมกันในกระท่อมมุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า แล้วเกิดมีทิฏฐิ
ชั่วเห็นปานนี้ว่า วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณอื่นเลว วรรณะ
ที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ ผู้ที่มิใช่พราหมณ์
ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากโอษฐ์ของพรหม เกิดจาก
พรหม พรหมเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นทายาทของพรหม จริงหรือ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [5. พราหมณวรรค] 3. อัสสลายนสูตร
พราหมณ์ฤาษีทั้ง 7 ตน ตอบว่า จริง ท่านผู้เจริญ
อสิตเทวลฤาษีถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า มารดาบังเกิดเกล้าได้แต่งงาน
กับพราหมณ์เท่านั้น มิได้แต่งงานกับชายผู้มิใช่พราหมณ์เลย
ไม่รู้เลย ท่านผู้เจริญ
ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า มารดาของมารดาบังเกิดเกล้าตลอด 7 ชั่วโคตร
ชั่วย่ายายของฝ่ายมารดา ได้แต่งงานกับพราหมณ์เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกับชายผู้มิใช่
พราหมณ์เลย
ไม่รู้เลย ท่านผู้เจริญ
ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า บิดาบังเกิดเกล้าได้แต่งงานกับนางพราหมณี
เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกับหญิงผู้มิใช่นางพราหมณีเลย
ไม่รู้เลย ท่านผู้เจริญ
ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า บิดาของบิดาบังเกิดเกล้าตลอด 7 ชั่วโคตร
ชั่วปู่ตาของฝ่ายบิดา ได้แต่งงานกับนางพราหมณีเท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกับหญิงผู้
มิใช่นางพราหมณีเลย
ไม่รู้เลย ท่านผู้เจริญ
ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า การถือกำเนิดในครรภ์มีได้ด้วยอาการอย่างไร
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ว่า การถือกำเนิดในครรภ์ย่อมมีได้ คือ
1. มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
2. มารดามีระดู
3. คันธัพพะ1ปรากฏ ฉันใด
เพราะปัจจัย 3 ประการนี้ ประชุมพร้อมกัน การถือกำเนิดในครรภ์ ย่อมมีได้
ฉันนั้น