เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [5. จูฬยมกวรรค] 10. มารตัชชนียสูตร

เพื่อความทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน' แล้วจึงดำริว่า 'แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่
รู้จักเราได้เร็วไว ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้"
ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า "มาร เรารู้จักท่านแม้ด้วย
เหตุนี้ ท่านอย่าเข้าใจว่า 'สมณะนี้ไม่รู้จักเรา' ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า
'สมณะนี้ไม่รู้ ไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า 'มาร ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่าน
อย่าเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย การเบียดเบียนนั้นอย่าได้มี
เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่ท่านสิ้นกาลนาน' แล้วจึงดำริว่า 'แม้
สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไว ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้"
ลำดับนั้น มารใจบาปมีความดำริว่า "สมณะนี้รู้จักและเห็นเราจึงกล่าวอย่าง
นี้ว่า 'มาร ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและ
สาวกของพระตถาคตเลย การเบียดเบียนนั้น อย่าได้มีเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
เพื่อความทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน" จึงออกจากปากของท่านพระมหาโมคคัลลานะ
แล้วยืนอยู่ข้างบานประตู
[507] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารใจบาปยืนอยู่ข้างบานประตู
แล้วจึงถามว่า "มาร เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า 'สมณะ
นี้ไม่เห็นเรา' ท่านนั้นยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู
เรื่องเคยมีมาแล้ว เราเป็นมารชื่อทูสี มีน้องสาวชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรของ
น้องสาวเรา ท่านเป็นหลานชายของเรา ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงมีคู่
พระอัครสาวกชื่อว่าวิธุระและสัญชีวะ ในบรรดาพระสาวกของพระกกุสันธะผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่มีอยู่ ไม่มีสาวกองค์ใดที่จะเสมอด้วยท่าน
พระวิธุระในการแสดงธรรม ด้วยเหตุนี้ ท่านพระวิธุระจึงมีชื่อว่า 'วิธุระ วิธุระ'
ส่วนท่านพระสัญชีวะอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติด้วยความลำบากเล็กน้อย เรื่องเคยมีมาแล้ว
ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง พวกคนเลี้ยงโค

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :546 }


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [5. จูฬยมกวรรค] 10. มารตัชชนียสูตร

พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะนั่ง
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วได้ปรึกษากันว่า 'ท่านผู้เจริญ น่า
อัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระสมณะนี้นั่งมรณภาพแล้ว เอาละ พวกเราช่วย
กันเผาท่านเถิด' ครั้งนั้น คนเหล่านั้นจึงหาหญ้า ไม้ และมูลโคมากองสุมกาย
ท่านพระสัญชีวะ จุดไฟเผาแล้วจากไป เมื่อราตรีนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ท่าน
พระสัญชีวะออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ก็สลัดจีวร เวลาเช้า ครองอันตรวาสกแล้ว
ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์
พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะเที่ยวบิณฑบาตแล้ว
ได้ปรึกษากันว่า 'ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระสมณะนี้
นั่งมรณภาพแล้ว กลับฟื้นชีพคืนได้' ด้วยเหตุนี้ ท่านพระสัญชีวะจึงมีชื่อว่า 'สัญชีวะ
สัญชีวะ'
[508] มาร ครั้งนั้น ทูสีมารมีความดำริว่า 'เราไม่รู้จักการมาและการไป
ของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้ ทางที่ดี เราควรดลใจพวกพราหมณ์และ
คหบดีว่า 'มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุผู้มีศีล
มีกัลยาณธรรม ทำอย่างไร ภิกษุเหล่านั้น ผู้ถูกพวกท่านด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด
เบียดเบียนอยู่ จะพึงมีจิตเป็นอย่างอื่นทำให้ทูสีมารพึงได้โอกาส'
ครั้งนั้น ทูสีมารก็ดลใจพวกพราหมณ์และคหบดีว่า 'มาเถิด พวกท่านจงด่า
บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทำอย่างไร
ภิกษุเหล่านั้น ผู้ถูกพวกท่านด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนอยู่ จะพึงมีจิต
เป็นอย่างอื่นทำให้ทูสีมารพึงได้โอกาส' พวกพราหมณ์และคหบดีถูกทูสีมารดลใจ
แล้วก็ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมว่า
'ภิกษุพวกนี้เป็นสมณะหัวโล้น เป็นคหบดี เป็นค่าง เป็นผู้เกิดจากหลังเท้าของพรหม
พูดว่า 'พวกเราเจริญฌาน พวกเราเจริญฌาน' เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน
ย่อมรำพึง ซบเซา เหงาหงอย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :547 }