เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [5. จูฬยมกวรรค] 3. มหาเวทัลลสูตร

อินทรีย์ 5

[455] "ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ 5 ประการนี้ คือ (1) จักขุนทรีย์
(2) โสตินทรีย์ (3) ฆานินทรีย์ (4) ชิวหินทรีย์ (5) กายินทรีย์ มีอารมณ์ต่างกัน
มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ 5
ประการนี้มีอารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของ
กันและกัน จะมีอะไรเป็นที่อาศัย และธรรมอะไรรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่ง
อินทรีย์ 5 ประการนั้น"
"ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ 5 ประการนี้ คือ (1) จักขุนทรีย์ (2) โสตินทรีย์
(3) ฆานินทรีย์ (4) ชิวหินทรีย์ (5) กายินทรีย์ มีอารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน
ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน เมื่ออินทรีย์เหล่านี้มีอารมณ์ต่างกัน
มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน มีใจเป็นที่อาศัย
และใจย่อมรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์เหล่านั้น"
[456] "ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ 5 ประการนี้ คือ (1) จักขุนทรีย์
(2) โสตินทรีย์ (3) ฆานินทรีย์ (4) ชิวหินทรีย์ (5) กายินทรีย์ อินทรีย์ 5
ประการนี้อาศัยอะไรดำรงอยู่"
"ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ 5 ประการนี้ คือ (1) จักขุนทรีย์ (2) โสตินทรีย์
(3) ฆานินทรีย์ (4) ชิวหินทรีย์ (5) กายินทรีย์ อินทรีย์ 5 ประการนี้อาศัยอายุ1
ดำรงอยู่"
"อายุอาศัยอะไรดำรงอยู่"
"อายุอาศัยไออุ่น2ดำรงอยู่"
"ไออุ่นอาศัยอะไรดำรงอยู่"
"ไออุ่นอาศัยอายุดำรงอยู่"
"ผมรู้ทั่วถึงภาษิตของท่านพระสารีบุตรในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า 'อายุอาศัยไออุ่น
ดำรงอยู่และไออุ่นอาศัยอายุดำรงอยู่' แต่ผมจะพึงเข้าใจความแห่งภาษิตนี้ได้อย่างไร"

เชิงอรรถ :
1 อายุ ในที่นี้หมายถึงรูปชีวิตินทรีย์ (ม.มู.อ. 2/456/257-259)
2 ไออุ่น หมายถึงเตโชธาตุที่เกิดจากกรรม (ม.มู.อ. 2/456/257-259)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :494 }


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [5. จูฬยมกวรรค] 3. มหาเวทัลลสูตร

"ถ้าเช่นนั้น ผมจักอุปมาให้ท่านฟัง เพราะวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ย่อมทราบ
ความแห่งภาษิตได้ด้วยอุปมา เมื่อประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่ แสงสว่างอาศัย
เปลวไฟจึงปรากฏ เปลวไฟก็อาศัยแสงสว่างจึงปรากฏอยู่แม้ฉันใด อายุอาศัยไออุ่น
ดำรงอยู่ ไออุ่นก็อาศัยอายุดำรงอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน"
[457] "ท่านผู้มีอายุ อายุสังขาร1 กับเวทนียธรรม2เป็นอันเดียวกัน หรือต่างกัน"
"ท่านผู้มีอายุ อายุสังขารกับเวทนียธรรม ไม่เป็นอันเดียวกัน (ถ้า) อายุสังขาร
กับเวทนียธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญา-
เวทยิตนิโรธ ก็ไม่พึงปรากฏ แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมต่างกัน ฉะนั้น
การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงปรากฏ"
"เมื่อธรรมเท่าไรละกายนี้ไป กายนี้จึงถูกทอดทิ้งนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่
ปราศจากเจตนา"
"เมื่อธรรม 3 ประการ คือ (1) อายุ (2) ไออุ่น (3) วิญญาณ3 ละกายนี้ไป
กายนี้จึงถูกทอดทิ้ง นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา"
"สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกันอย่างไร"
"สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร4ดับระงับไป
มีอายุหมดสิ้นไป ไม่มีไออุ่น มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิต-
นิโรธมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขารดับ ระงับไป แต่อายุยังไม่หมดสิ้น
ยังมีไออุ่นมีอินทรีย์ผ่องใส
สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกันอย่างนี้"

เชิงอรรถ :
1 อายุสังขาร หมายถึงอายุนั่นเอง (ม.มู.อ. 2/457/258)
2 เวทนียธรรม หมายถึงเวทนาธรรม (ม.มู.อ. 2/457/258)
3 วิญญาณ หมายถึงจิต (ม.มู.อ. 2/457/259)
4 กายสังขาร หมายถึงลมหายใจเข้าออก วจีสังขาร หมายถึงวิตกวิจาร จิตตสังขาร หมายถึงสัญญาเวทนา
(ม.มู.อ. 2/457/259)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :495 }