เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [3. โอปัมมวรรค] 1. กกจูปมสูตร

นางเวเทหิกาบันดาลโทสะ

[226] ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ในกรุงสาวัตถีนี้แล ได้มีหญิงแม่
เรือนชื่อเวเทหิกา เธอมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า 'หญิงแม่เรือนชื่อ
เวเทหิกาเป็นคนเรียบร้อย เจียมตน ใจเย็น และเธอมีสาวใช้ชื่อกาลีเป็นคนขยัน
ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี'
ต่อมา สาวใช้ชื่อกาลีได้มีความคิดอย่างนี้ว่า 'กิตติศัพท์อันงามของนายหญิง
ของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า 'หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาเป็นคนเรียบร้อย เจียมตน
ใจเย็น นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ หรือว่า
หล่อนไม่มีความโกรธอยู่เลย หรือนายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ใน
ภายในให้ปรากฏ เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่หล่อนไม่มีความ
โกรธ ทางที่ดี เราจะต้องทดลองนายหญิงดู' วันรุ่งขึ้น นางกาลีก็แกล้งตื่นสาย
ฝ่ายหญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาได้ตวาดสาวใช้ชื่อกาลีว่า 'เฮ้ย นางกาลี'
นางกาลีขานรับว่า 'อะไรเจ้าค่ะ นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า 'เฮ้ย ทำไมจึงตื่นสาย'
นางกาลีตอบว่า 'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'
นางจึงกล่าวอีกว่า 'เฮ้ย นางชาติชั่ว เมื่อไม่มีอะไร ทำไมจึงตื่นสาย' แล้วโกรธ
ไม่พอใจ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ลำดับนั้น นางกาลีได้คิดว่า'นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ใน
ภายในเท่านั้น ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ ที่ไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายใน
ให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ทางที่ดี เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป' ต่อมา นางกาลีก็ตื่นสายกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา ก็ร้องตวาดด่านางกาลีอีกว่า 'เฮ้ย นางกาลี'
นางกาลีขานรับว่า 'อะไรเจ้าค่ะ นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า 'เฮ้ย ทำไมจึงตื่นสาย'
นางกาลีตอบว่า 'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :237 }


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ [3. โอปัมมวรรค] 1. กกจูปมสูตร

นางจึงกล่าวอีกว่า 'เฮ้ย นางชาติชั่ว เมื่อไม่มีอะไร ทำไมจึงตื่นสายเล่า'
แล้วโกรธ ไม่พอใจ แผดเสียงด้วยความขุ่นเคือง
ลำดับนั้น นางกาลีได้คิดว่า 'นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ใน
ภายในเท่านั้น ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ ที่ไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้
ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ ทาง
ที่ดี เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก' ต่อมา นางกาลีก็ตื่นสายยิ่งกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาก็ร้องตวาดด่านางกาลีว่า 'เฮ้ย นางกาลี
ชาติชั่ว'
นางกาลีขานรับว่า 'อะไรเจ้าค่ะ นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า 'เฮ้ย ทำไมจึงตื่นสายนัก'
นางกาลีตอบว่า 'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'
นางจึงกล่าวอีกว่า 'เฮ้ย นางชาติชั่ว เมื่อไม่มีอะไร ทำไมจึงตื่นสายเล่า'
แล้วโกรธจัด คว้าลิ่มประตูขว้างศีรษะ ปากก็ด่าว่า 'ข้าจะตีหัวเอ็งให้แตก'
คราวนั้น นางกาลีหัวแตกมีเลือดไหลโชก เที่ยวโพนทะนาแก่คนบ้านใกล้
เรือนเคียงว่า 'พ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย ขอเชิญดูการกระทำของคนเรียบร้อย เจียมตน
ใจเย็นเถิด นางโกรธไม่พอใจว่าตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูขว้างศีรษะของสาวใช้คนหนึ่ง
ปากก็ด่าว่า 'ข้าจะตีหัวเอ็งให้แตก'
ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมา กิตติศัพท์อันชั่วช้าของหญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา
ก็ขจรไปอย่างนี้ว่า 'หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา เป็นหญิงดุร้าย ไม่เจียมตน ใจร้อน'
แม้ฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้เรียบร้อยนักเรียบร้อยหนา
เจียมตนนักเจียมตนหนา ใจเย็นนักใจเย็นหนา ก็เพียงชั่วเวลาที่ถ้อยคำอันไม่เป็นที่
พอใจไม่มากระทบเท่านั้น แต่เมื่อใด ถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจมากระทบเธอเข้า เมื่อนั้น
ควรทราบว่า 'เธอเป็นผู้เรียบร้อย เป็นผู้เจียมตน เป็นผู้ใจเย็นจริง'1 ภิกษุที่ทำตน

เชิงอรรถ :
1 ข้อความนี้มีความหมายว่า เมื่อใด ถ้อยคำที่ไม่น่าพอใจมากระทบโสตประสาทเธอเข้า แล้วเธอสามารถ
ดำรงอยู่ในอธิวาสนขันติ(ความอดทนคือความอดกลั้น)ได้ ไม่โกรธ พึงทราบว่า เธอเป็นผู้เรียบร้อย เจียมตน
และใจเย็น (ม.มู.อ. 2/226/6)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 12 หน้า :238 }