เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [11. ทสุตตรสูตร] ธรรม 7 ประการ

(ช) ธรรม 7 ประการที่ควรให้เกิดขึ้น คืออะไร
คือ สัญญา1 7 ได้แก่

1. อนิจจสัญญา (กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร)
2. อนัตตสัญญา (กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรมทั้งปวง)
3. อสุภสัญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย)
4. อาทีนวสัญญา (กำหนดหมายทุกข์โทษของกายอันมีความ
เจ็บไข้ต่าง ๆ)
5. ปหานสัญญา (กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรม
ทั้งหลาย)
6. วิราคสัญญา (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)
7. นิโรธสัญญา (กำหนดหมายนิโรธว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)

นี้ คือธรรม 7 ประการที่ควรให้เกิดขึ้น
(ฌ) ธรรม 7 ประการที่ควรรู้ยิ่ง คืออะไร
คือ นิททสวัตถุ2 7 ได้แก่
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
1. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการสมาทานสิกขา และไม่
ปราศจากความรัก3ในการสมาทานสิกขาต่อไป
2. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการใคร่ครวญธรรม และไม่
ปราศจากความรักในการใคร่ครวญธรรมต่อไป
3. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการกำจัดความอยาก และไม่
ปราศจากความรักในการกำจัดความอยากต่อไป
4. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการหลีกเร้น และไม่ปราศจาก
ความรักในการหลีกเร้นต่อไป
5. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการปรารภความเพียร และไม่
ปราศจากความรักในการปรารภความเพียรต่อไป

เชิงอรรถ :
1 ดูเทียบข้อ 331 หน้า 334 ในเล่มนี้, องฺ.สตฺตก. (แปล) 23/42/63
2 ดูเทียบข้อ 331 หน้า 333-334 ในเล่มนี้, องฺ.สตฺตก. (แปล) 23/624/189
3 ดูเชิงอรรถที่ 4 ข้อ 331 หน้า 333 ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :401 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [11. ทสุตตรสูตร] ธรรม 7 ประการ

6. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในสติปัญญาเครื่องรักษาตน และ
ไม่ปราศจากความรักในสติปัญญาเครื่องรักษาตนต่อไป
7. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการแทงตลอดทิฏฐิ และไม่
ปราศจากความรักในการแทงตลอดทิฏฐิต่อไป
นี้ คือธรรม 7 ประการที่ควรรู้ยิ่ง
(ญ) ธรรม 7 ประการที่ควรทำให้แจ้ง คืออะไร
คือ กำลังของพระขีณาสพ 7 ได้แก่
1. สังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพในพระธรรมวินัยนี้เห็น
ว่าเป็นสภาวะไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง
ข้อที่สังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของ
ภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญาความสิ้นอาสวะ
ทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”
2. กามทั้งหลายเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเปรียบด้วยหลุม
ถ่านเพลิงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่กาม
ทั้งหลายเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเปรียบด้วยหลุมถ่าน
เพลิงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของ
ภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญาความสิ้นอาสวะ
ทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”
3. จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปในวิเวก โน้มไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ
ปราศจากเงื่อนธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง
แม้ข้อที่จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปในวิเวก โน้ม
ไปในวิเวก โอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ
ปราศจากเงื่อนธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง
นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญา
ความสิ้นอาสวะทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :402 }