เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [1. ปาฎิกสูตร] เรื่องเจ้าลิจฉวีนามว่าสุนักขัตตะ

[5] ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิด
ของโลก1 แก่ข้าพระองค์เลย’
‘สุนักขัตตะ เราได้กล่าวกับเธอบ้างหรือว่า ‘มาเถิด สุนักขัตตะ เธอจงอยู่
อุทิศเรา เราจักประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกแก่เธอ’
‘หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า’
‘สุนักขัตตะ ก็หรือเธอได้กล่าวกับเราอย่างนี้ว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
จักอยู่อุทิศพระผู้มีพระภาค (ถ้า)พระผู้มีพระภาคจักประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิด
ของโลกแก่ข้าพระองค์’
‘หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า’
‘สุนักขัตตะ จริง ๆ แล้ว เราไม่ได้กล่าวกับเธอเลยว่า ‘มาเถิด สุนักขัตตะ
เธอจงอยู่อุทิศเรา เราจักประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกแก่เธอ’ ทั้งเธอก็ไม่
ได้กล่าวกับเราเลยว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศพระผู้มีพระภาค
(ถ้า)พระผู้มีพระภาคจักทรงประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกแก่ข้าพระองค์’
โมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเป็นใคร จะบอกคืนใคร สุนักขัตตะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่า
อย่างไร เราจะประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก หรือไม่ประกาศทฤษฎีว่าด้วย
ต้นกำเนิดของโลกก็ตาม ธรรมที่เราแสดงแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
แก่ผู้กระทำตามหรือ(ไม่)’
‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จะทรงประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก
หรือไม่ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกก็ตาม ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม พระพุทธเจ้าข้า’

เชิงอรรถ :
1 ทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก ในที่นี้หมายถึงทฤษฎีที่กล่าวถึงการเกิดขึ้นของโลกว่า ‘นี้เป็นดินแดน
เริ่มต้นของโลก’ (ที.ปา.อ. 5/3, ที.ปา.ฏีกา 5/3)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :4 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [1. ปาฎิกสูตร]เรื่องเจ้าลิจฉวีนามว่าสุนักขัตตะ

สุนักขัตตะ จริง ๆ แล้ว เราจะประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก
หรือไม่ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกก็ตาม ธรรมที่เราแสดงแล้วย่อม
เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เราประกาศ
ทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก จักก่อผลอะไรได้เล่า โมฆบุรุษ เธอจงดูเถิดว่า
‘การพูดเช่นนี้เป็นความผิดของเธอมากเพียงไร’
[6] สุนักขัตตะ เธอเคยกล่าวสรรเสริญเราที่วัชชีคาม1ด้วยเหตุผลหลายอย่างว่า
‘แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
โดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควร
ฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า
เป็นพระผู้มีพระภาค2’ สุนักขัตตะ เธอเคยกล่าวสรรเสริญเราที่วัชชีคามด้วยเหตุผล
หลายอย่าง อย่างนี้แล

เชิงอรรถ :
1 วัชชีคาม หมายถึงกรุงเวสาลีซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าวัชชี (ที.ปา.อ. 6/3)
2 พุทธคุณทั้ง 9 บทนี้ แต่ละบทมีอรรถอเนกประการ คือ
1. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะห่างไกลจากกิเลส, เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลส, เพราะหักซี่กำแห่ง
สังสาระ คือการเวียนว่ายตายเกิด, เพราะเป็นผู้ควรรับไทยธรรม, เพราะไม่ทำบาปในที่ลับ
2. ชื่อว่าตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง
3. ชื่อว่าเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ วิชชา ได้แก่ วิชชา 3 และวิชชา 8 ดังนี้ วิชชา 3 คือ
(1) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความหยั่งรู้ที่ทำให้ระลึกชาติได้ (2) จุตูปปาตญาณ ความหยั่งรู้จุติ(ตาย) และ
อุบัติ(เกิด) ของสัตว์ (3) อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ วิชชา 8 คือ (1) วิปัสสนาญาณ
ญาณที่เป็นตัววิปัสสนา (2) มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ (3) อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ (4) ทิพพโสต
หูทิพย์ (5) เจโตปริยญาณ ปรีชากำหนดรู้จิตผู้อื่นได้ (6) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความหยั่งรู้ที่ทำให้ระลึก
ชาติได้ (7) ทิพพจักขุ ตาทิพย์ หรือเรียกว่าจุตูปปาตญาณ (8) อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ที่ทำให้สิ้น
อาสวะ จรณะ 15 คือ (1) สีลสัมปทา ความถึงพร้อมแห่งศีล (2) อินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์
(3) โภชเนมัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณในการบริโภค (4) ชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบความเพียร
เป็นเครื่องตื่น (5) มีศรัทธา (6) มีหิริ (7) มีโอตตัปปะ (8) เป็นพหูสูต (9) วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร
(10) มีสติมั่นคง (11) มีปัญญา (12) ปฐมฌาน (13) ทุติยฌาน (14) ตติยฌาน (15) จตุตถฌาน
4. ชื่อว่าเสด็จไปดี เพราะทรงดำเนินรุดหน้าไปไม่หวนกลับคืนมาหากิเลสที่ทรงละได้แล้ว และยังมี
อรรถว่า ตรัสไว้ดี เพราะทรงกล่าวคำที่ควรในฐานะที่ควร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :5 }