เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [1. ปาฎิกสูตร]
เรื่องการประกาศทฤษฏีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก

เกินเวลา เมื่อหมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลาย่อมหลงลืมสติ
เพราะความหลงลืมสติ จึงต้องจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน
มีอายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’
ท่านทั้งหลายประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่า
มีมูลเหตุมาจากเทพเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ มีความเป็นมาอย่างนี้ ใช่หรือไม่’ สมณ-
พราหมณ์เหล่านั้นตอบอย่างนี้ว่า ‘ท่านพระโคดม พวกข้าพเจ้าก็ได้ยินมาอย่างที่
ท่านพระโคดมตรัสนั่นแหละ’
ภัคควะ ก็เรารู้ชัดทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก ฯลฯ ที่เมื่อรู้ชัด ตถาคต
จึงไม่ดำเนินไปสู่ความเสื่อม
[43] ภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวก ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิด
ของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่ามีมูลเหตุมาจากเทพเหล่ามโนปโทสิกะ1 เราจึงเข้าไปถาม
พวกเขาอย่างนี้ว่า ‘ทราบว่า ท่านทั้งหลายประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก
ตามลัทธิอาจารย์ว่ามีมูลเหตุมาจากเทพเหล่ามโนปโทสิกะ จริงหรือ’ สมณพราหมณ์
เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วยืนยันว่า ‘เป็นเช่นนั้น’ เราจึงถามต่อไปว่า ‘ท่านทั้งหลาย
ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่ามีมูลเหตุมาจากเทพ
เหล่ามโนปโทสิกะ มีความเป็นมาอย่างไร’ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้
แล้วก็ตอบไม่ได้ กลับย้อนถามเรา เราถูกเขาถามแล้วจึงตอบว่า
[44] ‘ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มีเทพเหล่าหนึ่งชื่อมโนปโทสิกะ เทพเหล่านั้น
มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควร เมื่อมัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควร จึงคิดมุ่งร้าย
ต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกัน จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

เชิงอรรถ :
1 มโนปโทสิกะ หมายถึงเทพที่ต้องจุติเพราะคิดร้ายกันและกัน (ที.สี. 47-48/105)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :31 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [1. ปาฎิกสูตร]
เรื่องการประกาศทฤษฏีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก

ข้อที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อ
เขามาเป็นอย่างนี้แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตแล้ว อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่น
ประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้ว บรรลุเจโตสมาธิ
ที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากชาตินั้นไประลึกไม่ได้
เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘เทพผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ไม่ใช่เทพเหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่
มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควร เมื่อไม่มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควร ก็ไม่คิด
มุ่งร้ายต่อกัน เมื่อไม่คิดมุ่งร้ายต่อกัน ก็ไม่เหนื่อยกายเหนื่อยใจ จึงไม่จุติจากชั้นนั้น
เป็นผู้เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร จักดำรงอยู่เที่ยงแท้ไปเช่นนั้นทีเดียว
ส่วนเราเหล่ามโนปโทสิกะ มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควร เมื่อมัวจ้องจับผิดกัน
และกันเกินควร จึงคิดมุ่งร้ายต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกัน จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจ
พากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุสั้น ต้องจุติมาเป็น
อย่างนี้’
ท่านทั้งหลายประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่า
มีมูลเหตุมาจากเทพเหล่ามโนปโทสิกะ มีความเป็นมาอย่างนี้ ใช่หรือไม่’ สมณพราหมณ์
เหล่านั้นตอบอย่างนี้ว่า ‘ท่านพระโคดม พวกข้าพเจ้าก็ได้ยินมาอย่างที่ท่านพระ
โคดมตรัสนั่นแหละ’
ภัคควะ ก็เรารู้ชัดทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก ฯลฯ ที่เมื่อรู้ชัด ตถาคต
จึงไม่ดำเนินไปสู่ความเสื่อม
[45] ภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวก ประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิด
ของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าเกิดขึ้นเอง เราจึงเข้าไปถามพวกเขาอย่างนี้ว่า ‘ทราบว่า
ท่านทั้งหลายประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าเกิดขึ้นเอง
จริงหรือ’ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วยืนยันว่า ‘เป็นเช่นนั้น’
เราจึงถามต่อไปว่า ‘ท่านทั้งหลายประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :32 }