เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [10. สังคีติสูตร]
ท้องพระโรงหลังใหม่ชื่ออุพภตกะ

10. สังคีติสูตร
ว่าด้วยการสังคายนา

[296] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมัลละ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ได้เสด็จถึงกรุงปาวาของพวกเจ้ามัลละ ทราบว่า สมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร1 เขตกรุงปาวานั้น

ท้องพระโรงหลังใหม่ชื่ออุพภตกะ

[297] สมัยนั้น ท้องพระโรงหลังใหม่อันมีนามว่า อุพภตกะ ที่พวกเจ้ามัลละ
กรุงปาวา โปรดให้สร้างสำเร็จแล้วได้ไม่นาน ยังไม่มีสมณะหรือพราหมณ์ หรือใคร ๆ
ที่เป็นมนุษย์เข้าพักอาศัยเลย พวกเจ้ามัลละกรุงปาวาได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค
เสด็จจาริกในแคว้นมัลละ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ได้เสด็จ
ถึงกรุงปาวาโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร เขต
กรุงปาวา ต่อมา พวกเจ้ามัลละกรุงปาวาได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ท้องพระโรงหลังใหม่อันมีนามว่า
อุพภตกะ ที่พวกเจ้ามัลละกรุงปาวา โปรดให้สร้างสำเร็จแล้วได้ไม่นาน ยังไม่มีสมณะ
หรือพราหมณ์ หรือใคร ๆ ที่เป็นมนุษย์เข้าพักอาศัยเลย ขอพระผู้มีพระภาคทรงใช้
ท้องพระโรงนั้นเป็นปฐมฤกษ์ด้วยเถิด พวกเจ้ามัลละกรุงปาวา จักใช้ภายหลังที่
พระผู้มีพระภาคทรงใช้เป็นปฐมฤกษ์แล้ว ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่
พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงปาวาตลอดกาลนาน”
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการดุษณี
[298] ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละกรุงปาวา ทรงทราบพระอาการที่พระผู้มี
พระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค

เชิงอรรถ :
1 กัมมารบุตร แปลว่าบุตรของนายช่างทอง (องฺ.ทสก.อ. 3/176/377)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :247 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [10. สังคีติสูตร]
ท้องพระโรงหลังใหม่ชื่ออุพภตกะ

กระทำประทักษิณ1แล้ว เสด็จเข้าไปยังท้องพระโรงหลังใหม่ แล้วจึงรับสั่งให้ปูเครื่องลาด
ทั่วท้องพระโรง ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมัน แล้วเข้าเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ปูเครื่องลาด
ทั่วท้องพระโรง ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว ขอพระผู้มี
พระภาคจงทรงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด”
[299] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวร
เสด็จไปยังท้องพระโรงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าสู่ท้อง
พระโรงประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
ฝ่ายภิกษุสงฆ์ล้างเท้าแล้วเข้าสู่ท้องพระโรงนั่งพิงฝาด้านทิศตะวันตก ผินหน้า
ไปทางทิศตะวันออกอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์พระผู้มีพระภาค
ส่วนพระเจ้ามัลละกรุงปาวาทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรงประทับ
นั่งพิงฝาทางด้านทิศตะวันออก ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตกอยู่เบื้องพระพักตร์
พระผู้มีพระภาค2
จากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พวกเจ้ามัลละกรุงปาวาเห็นชัด ชวนใจ
ให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาเกือบตลอดคืน แล้วทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า “วาเสฏฐะทั้งหลาย
ราตรีผ่านไปมากแล้ว3 ขอท่านทั้งหลายจงกำหนดเวลาสมควร ณ บัดนี้เถิด” พวกเจ้า
มัลละกรุงปาวาทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว ทรงพากันลุกขึ้นจากที่ประทับ ถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วเสด็จจากไป

เชิงอรรถ :
1 กระทำประทักษิณ หมายถึงเดินเวียนขวา คือเดินพนมมือเวียนไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา เป็นการแสดง
ความเคารพ ตามธรรมเนียมสมัยนั้น ต้องเดินเวียนขวา 3 รอบ โดยมีพระผู้มีพระภาคอยู่ทางขวา เสร็จ
แล้วหันหน้าไปทางพระผู้มีพระภาค เดินถอยหลังจนสุดสายตา คือจนมองไม่เห็นพระผู้มีพระภาค คุกเข่า
ลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วเดินจากไป (วิ.อ. 1/15/176-177)
2 ดูเทียบ สํ.สฬา. (แปล) 18/243/246
3 ราตรีผ่านไปมากแล้ว หมายถึงเกือบสว่าง (ที.ม.อ. 151/140-141)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 11 หน้า :248 }